ระหว่างทางเราได้ผ่านหมู่บ้านหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ริมถนน เป็นหมู่บ้านที่ดูยากจนมากๆ เพราะบ้านแต่ละหลังมีลักษณะเป็นเพิ่งพักชั่วคราวมากกว่า แต่จุดที่ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้มีความน่าสนใจที่จะต้องพูดถึงก็เพราะหมู่บ้านนี้เป็น..."หมู่บ้านโสเภณี"
เพราะฉะนั้นระหว่างที่เราขับรถผ่านจะสังเกตุได้ว่าหน้าบ้านแต่ละหลังจะมีผู้หญิงอินเดียนั่งประจำการอยู่และคอยจับจ้องรถที่ขับผ่านไปมา เพราะกลุ่มเป้าหมายของหญิงขายบริการเหล่านี้จะเป็นกลุ่มผู้ใช้แรงงานหรือบรรดาสิงห์รถบรรทุก
นั่งรถต่อไปอีกสักพักเราก็มาแวะกันที่จุดท่องเที่ยวจุดแรกของวันนี้ นั่นคือ อุทยานแห่งชาติปารัตเปอร์
อุทยานแห่งชาติ ปารัตเปอร์ (ฺBharatpur National Park) มีพื้นที่ 29 ตารางกิโลเมตร เป็นอุทยานที่มีชื่อเป็นทางการอีกชื่อว่า Keoladeo Ghana National Park เป็นอุทยานที่ถูกสร้างขึ้นโดยมหาราชาของรัฐ ปารัตเปอร์ ในศตวรรษที่ 19 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำเป็นเขื่อนป้องกันน้ำท่วมแต่ภายหลังตัวเขื่อนนี้ ได้พังทลายลงจนเกิดเป็นทะเลสาปปารัตเปอร์ ทำให้ในยุคต่อๆ มา อุทยานปารัตเปอร์ได้เปลี่ยนเป็นพื้นที่ล่าสัตว์ส่วนพระองค์ของมหาราชา ก่อนที่จะถูกประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ ในปี 1982 และถูกประกาศเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติในปี 1985
อุทยานแห่งนี้จะมีชื่อเสียงในเรื่องนกที่มีมากกว่า 350 สายพันธุ์ อุทยานแห่งนี้จึงถูกจัดเป็นสถานที่ดูนกที่ดีที่สุดแห่งหนุ่งของโลก
วิธีการเข้าไปชมในอุทยานจะมีหลายวิธี แต่ที่เป็นที่นิยมคือการนั่งสามล้อแล้วก็นั่งชมนก ชมไม้ในอุทยานไปเรื่อยๆ
หลังจากนั่งรถเข้าไปในอุทยานพอสมควรก็ต้องยอมรับคับว่าพวกเรามากันผิดเวลา (คนจัดคิดได้ไง ให้มาดูนกตอนใกล้ๆเที่ยง) เพราะว่านั่งกันไปเกือบชั่วโมงแล้วก็แทบไม่เห็นนกเลย เห็นแต่ต้นไม้ ที่สำคัญสำหรับพวกเราคนไทยอดรู้สึกไม่ได้ว่าสถานที่ดูนกในเมืองไทยยังมีที่สวยและน่าท่องเที่ยวกว่านี้มากมายหลายเท่า พวกเราจึงตัดสินใจไม่เข้าไปกันต่อ
ดังนั้นเราจึงมุ่งตรงไปกันที่จุดหมายต่อไปซึ่งก็คือสถานที่รับประทานอาหารเที่ยงของเราในวันนี้นั่นคือ...พระราชวังลักษมีวิลล่า (กินในวังกันตลอด จนเริ่มจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นทายาทมหาราชาเข้าบ้างแล้ว 555)
พระราชวังลักษมี (Laxmi Villas Palace) สร้างในปี 1887 โดยราชา Ragunath Singh ซึ่งเป็นน้องชายของมหาราชา Ram Singh ผู้ปกครองแคว้นปารัตเปอร์ โดยพระราชวังแห่งนี้ได้ถูกเปลี่ยนเป็นโรงแรม (เหมือนพระราชวังส่วนใหญ่ในอินเดีย) ในปี 1994
และเช่นเคยคับใครที่เบื่อๆ อยากลองเปลี่ยนรสชาติไปใช้ชีวิตแบบมหาราชา หรือ รานีก็เข้าไปดูข้อมูลของโรงแรมได้ที่
http://www.laxmivilas.com/index.php
รับประทานอาหารเที่ยงพร้อมชมความงามของพระราชวังลักษมีกันอิ่มแล้วก็ได้เวลาเดินทางไปเมืองอัครากันต่อโดยใช้เวลาอีกประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ เราก็เดินทางถึงเมืองอัครา และจุดหมายแรกที่เราไปแวะชมกันก็คือ ป้อมอัคราฟอร์ท คับ
ป้อมอัคราฟอร์ท (Agra Fort) ได้ถูกสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิ์อักบาร์ ของอาณาจักรโมกุลซึ่งถือเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่มากในยุคนั้น โดยได้เริ่มทำการก่อสร้างตั้งแต่ปี 1565 และมาแล้วเสร็จในปี 1574
อัคราฟอร์ทตั้งอยู่ริมแม่น้ำยมุนา มีความยาวถึง 2.5 กิโลเมตร ประกอบด้วยกำแพงที่สร้างด้วยหินทรายสีแดง ประตูทางเข้าที่ตกแต่งประดับประดาด้วยกระเบื้องหลากสีสัน พร้อมด้วยอาคารหินอ่อนที่อยู่ด้านในมากถึง 500 หลัง
ป้อมอัคราเป็นรูปแบบเฉพาะของศิลปะโมกุล และเป็นสัญลักษณ์ถึงความยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิ์อักบาร์ รวมทั้งได้สะท้อนถึงพยายามของพระองค์ที่จะรวมธรรมเนียมประเพณีของศาสนาอิสลาม และฮินดูเข้าไว้ด้วยกัน โดยเห็นได้ชัดทั้งในสถาปัตยกรรมและการตกแต่งต่างๆ
ป้อมแห่งนี้แม้จะเริ่มสร้างสมัยจักรพรรดิ์อักบาร์ แต่ก็สำเร็จเสร็จสิ้นในสมัยมหาราชาชาร์ จาฮัน (Shah Jahan) ซึ่งเป็นหลานของพระองค์ และเป็นมหาราชาพระองค์นี้เองเป็นผู้สร้างทัชมาฮาลอันยิ่งใหญ่
ในภายหลังจักรพรรดิ์ ชาร์ จาฮัน ผู้สร้างทัชมาฮาล ได้ถูกพระโอรสของพระองค์เองคือ จักรพรรดิ์ออรังเซบ (Aurangzeb) ทำการปฏิวัติยึดอำนาจ โดยมีเรื่องเล่าว่าสาเหตุของการยึดอำนาจนอกจากเรื่องของการเมืองแล้วยังมาจากการหมดความอดทนของข้าราชบริพารเพราะทัชมาฮาลใช้งบประมาณและกำลังคนจำนวนมากในการก่อสร้างจนบ้านเมืองแทบไม่มีอะไรเหลือ แต่พระเจ้าชาร์ จาฮัน กลับมีพระราชดำริจะก่อสร้างทัชมาฮาลอีกหลัง แต่ทำด้วยหินอ่อนสีดำทั้งหมด เพื่อจะได้เป็นอนุสรณ์คู่กับทัชมาฮาลสีขาว แค่ได้ยินพระราชดำรินี้เหล่าข้าราชบริพารก็ร้อนๆ หนาวๆ และคงเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เกิดการยึดอำนาจขึ้น
ดังนั้นในบั้นปลายชีวิตพระเจ้า ชาร์ เจฮัน จึงถูกนำตัวมาควบคุมไว้ที่อัคราฟอร์ท ซึ่งเป็นสถานที่ๆพระองค์สามารถใช้เฝ้าชมความงามของผลงานชิ้นเอกของพระองค์ได้ จนสิ้นพระชนท์ในปี 1657
ที่กุมขังพระเจ้าชาร์ เจฮัน |
อาจจะเป็นคุกที่สวยที่สุดในโลก |
จากที่กุมขัง สามารถมองเห็นทัชมาฮาลตลอดเวลา |
บริเวณนี้เป็นที่ซึ่งจักรพรรดิ์ชาร์ เจฮัน สิ้นพระชมม์ |
นอกจากนั้นภายในอัคราฟอร์ทยังมีท้องพระโรงซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของ บัลลังก์มยุรา ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก เนื่องจากถือเป็นบัลลังก์ที่มีความล้ำค่ามากเพราะนอกจากเคยเป็นราชบัลลังก์คู่บารมีของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์โมกุลแล้ว ยังเป็นราชบัลลังก์ทองคำที่ประดับด้วยเพชรนิลจิดามีค่าจำนวนมาก แต่น่าเสียดายที่หลังจากจักรพรรดิ์ Nader Shah ได้ถูกลอบปลงพระชนม์ ราชบัลลังก์ที่แสนล้ำค่านี้ก็หายไปเป็นเวลาหลายปี ก่อนจะมาปรากฎตัวอีกครั้งในฐานะราชบัลลังก์คู่บารมีของอาณาจักรเปอร์เซียโดยปัจจุบันราชบัลลังก์ดังกล่าวนี้ยังอยู่ที่ประเทศอิหร่าน (แม้จะเรียกบัลลังก์มยุราเหมือนกันแต่รูปทรงต่างกันเล็กน้อย จึงเชื่อว่าเป็นการทำใหม่ หรือไม่ก็ใช้ฐานเดิมมาดัดแปลง)
อดีตเคยเป็นที่ตั้งของบัลลังก์มยุรา |
ภาพวาดบัลลังก์มยุราต้นฉบับที่สูญหายไป ทำด้วยทองคำประดับประดาด้วยไข่มุกและเพชรนิลจินดามหาศาล |
ท้องพระโรงที่ตั้งเดิมของบัลลังก์มยุรา |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น