วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เวียดนาม # 3 วันแรกก็เจอดีเลย

การเดินทางในครั้งนี้ ผมตั้งใจไปเที่ยวกันแบบ Backpack ด้วยการหาข้อมูลและวางแผนท่องเที่ยวด้วยตนเองซึ่งจะทำให้การเดินทางมีสีสันและความระทึกใจมากขึ้น  เป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่ไม่มีวันได้จากการไปกับกรุ๊ปทัวร์

ครั้งนี้ผมใช้บริการของการบินไทยนะคับ แต่ตอนแรกตั้งใจจะบินไปด้วยแอร์เอเชียกับเพื่อนๆ แต่เนื่องจาก Point ROP ของการบินไทยใกล้หมดอายุเลยเอามาใช้ซะหน่อย


เวลาเดินทางของการบินไทยกับแอร์เอเชียจะออกไล่เลี่ยกันนะคับ รู้สึกแอร์เอเชียจะออกเร็วกว่าประมาณครึ่งชั่วโมง แต่ปรากฎว่า การบินไทยกลับไปถึงสนามบินที่ฮานอยก่อน (ไปซิ่งแซงกันบนอากาศ) เลยต้องเป็นฝ่ายไปนั่งรอเพื่อนๆ แทน

ด่านตรวจคนเข้าเมือง หรือ ตม. ของเวียดนามไม่ยุ่งยากอะไรนะคับ  อย่างที่ให้ข้อมูลไปว่่าคนไทยไม่ต้องใช้วีซ่า เพียงแค่ก่อนเข้าประเทศก็กรอกใบ ตม. ของเขาให้เรียบร้อย ก็ไม่มีปัญหาอะไรคับ


หลังจากเดินผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ออกมาก็เจอโถงใหญ่ที่เป็นทางออกจากอาคารสนามบินเลยคับซึ่งสิ่งแรกที่ควรทำสำหรับคนที่ยังไม่ได้แลกเงินดองของเวียดนามมา (แต่ควรแลกเงินบาทเป็นดอลล่าห์มาก่อนแล้วนะคับ)  ก็คือให้แลกเงินทีสนามบินเลย เพราะเท่าที่เช็คข้อมูลมาพบว่าเรทที่สนามบินค่อนข้างดี ที่สำคัญไม่ต้องกลัวแบงก์ปลอมหรือการตุกติกด้วย

หลังจากแลกเงินเสร็จแล้วภารกิจต่อมาซึ่งถือเป็นความท้าทายแรกที่จะเกิดขึ้น ก็คือการหารถเข้าเมืองไปที่โรงแรมกันคับ

ผมว่าการวัดว่าสนามบินไหนมีความเป็นมืออาชีพก็ดูได้ส่วนหนึ่งจากระบนขนส่งมวลชนที่จะรับส่งผู้โดยสารจากสนามบินเข้าไปยังตัวเมืองนี่ล่ะคับ

สนามบินไหนที่ยังปล่อยให้ผู้โดยสารเคว้งคว้างต้องเผชิญชะตากรรมเสี่ยงกับการถูกหลอกด้วยการหารถเข้าเมืองด้วยตัวเองแบบตามมีตามเกิด  โดยไม่มีระบบที่ดีและมีราคามาตรฐานรองรับ  สนามบินนั้นก็คงยังห่างไกลจากความเป็นมืออาชีพมากๆ

ซึ่งบังเอิญคับว่า...สนามบินที่ฮานอย...เป็นหนึ่งในสนามบินที่เป็นเช่นนั้น



แค่พวกเราแสดงความสนใจจะเริ่มหารถเข้าเมืองเท่านั้น ก็มีบรรดานายหน้ามามะรุมมะตุ้มกันใหญ่เลยคับ แต่ในที่สุดเราก็ยอมตกลงเลือกเอาน้องคนนึงที่ดูยังเป็นวัยรุ่น ซื่อๆ  ซึ่งเขาเสนอราคามาที่ 20 $  แต่เราพยายามต่อรองเหลือ 16$ เพราะเท่าที่เช็คข้อมูลมาราคาจะอยู่ประมาณ 12 - 16$ (ตอนนี้ราคาคงเปลี่ยนไปแล้วนะคับ เพราะมันหลายปีแล้ว)  ซึ่งทางนั้นก็โอเค  

ตอนนั้นไม่เอะใจเลยคับที่เขาโอเคกับราคาที่เราต่อรองไปง่ายมาก  ยิ่งพอได้เห็นรถ ยิ่งรีบขึ้นรถกันแบบไม่คิดอะไรเลยเพราะมันใหม่มาก น่านั่ง  แถมไปเปิดประตูผิดด้วย เพราะในเวียดนาม คนขับจะอยู่ทางซ้าย  คนนั่งหน้าจะอยู่ฝั่งขวานะคับ  ก็คุยๆกันว่าคงไม่มีอะไรคับเพราะน้องเขายังเด็ก เป็นวัยรุ่นอยู่เลย ดูซื่อๆ ไม่มีพิษภัย





หลังจากออกจากสนามบินมาสักพัก   หนุ่มน้อยหน้ามนก็ดูมีพฤติกรรมไม่ชอบมาพากล   เพราะคุยโทรศัพท์ตลอดเวลา  แล้วในที่สุดก็ลายออกมาจนได้  เมื่ออยู่ดีๆ น้องคนนี้ก็จอดรถหน้าด่านที่เป็นเหมือนด่านทางด่วน  แล้วก็หันมาบอกกับพวกเราว่าต้องเก็บค่าทางด่วน 100000 ดอง ด้วยเหตุผลที่งี่เง่ามากว่าเพราะเราเป็นคนต่างชาติ เฮ้ย เหตุผลมันใช่หรือเปล่าเนี้ย คนต่างชาติขึ้นทางด่วนต้องจ่ายตังค์เป็นพิเศษด้วยเหรอ มันมีที่ไหนในโลก(ว่ะ)   พวกเราเลยไม่ยอมจ่ายคับ



ก็เรียกว่าเถียงกันไปมาอยู่นาน แต่ในที่สุด พวกเราเองก็ต้องยอมคับเพราะเส้นทางที่เราใช้เป็นทางด่วน ขืนทำเป็นหยิ่งลงตรงนี้แล้วจะหารถที่ไหน  แถมมันก็ดึกมากแล้วด้วย  ก็ได้แต่คิดว่าพวกเราผิดเองที่เชื่อใจน้องคนนี้เกินไป (ขนาดหาข้อมูลมาเป็นอย่างดีแล้ว  เห็นเป็นเด็กวัยรุ่นหน้าตาซื่อๆ ไม่น่าเลย)

แต่เหตุผลเบื้องหลังจริงๆ ที่เรายอมจ่ายในครั้งนี้ก็เพราะว่า พวกเราได้ตกลงกันก่อนมาแล้ว  ตั้งแต่รู้ข้อมูลว่าประเทศนี้มีสารพัดกลเม็ดเด็ดพรายในการโกงนักท่องเที่ยว พวกเราเลยตั้งใจว่าถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้แล้วมันไม่เสียหายมากมายนักก็คงต้องยอม  เรียกว่าทำใจกันมาล่วงหน้า  เพราะฉะนั้นงานนี้หลังจากคำนวณกันเสร็จสับ   100000 ดองก็ประมาณ 5 เหรียญ คิดเป็นเงินไทยก็ 165 บาท หาร 4 คน ก็คนละ 41 บาทเอง เลยไม่คิดมากเพราะยังไงก็ดีกว่าโดนทิ้งบนทางด่วนแน่

งานนี้ก็เลยต้องขอยืนยันว่า ของเขาแรงจริง   เจอดีตั้งแต่คืนแรกที่ลงมาเหยียบแผ่นดินเวียดนามเลย  สมคำเล่าลือทุกประการ   (ตอนหลังก็ยิ่งเจ็บใจหนักเพราะมารู้จากฝรั่งต่างชาติที่มาทำงานในเวียดนามว่าค่าทางด่วนเข้าเมือง จริงๆแล้วมันแค่ 2 - 4 หมื่นดองเอง  ไม่ได้เป็นแสนดองอย่างที่พวกเราต้องจ่ายซะหน่อย 5555)


งานนี้หลังจากเสียค่าโง่ไปหนึ่งแสนดองแล้ว ก็คิดว่าคงหมดเวรหมดกรรมกันเสียที  คงได้ไปถึงโรงแรมอย่างราบรื่น  แต่ปล่าวคับ  น้องเวียดหน้ามนคนนี้ยังไม่หมดฤทธิ์  เพราะเมื่อเข้าเมืองมาแล้ว น้องเขาก็ขับพาเราไปจอดหน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง แล้วจะให้เราพักที่นี่ให้ได้    โชคดีที่ระหว่างทางเราได้คุยถึงประเด็นนี้กันไว้แล้ว (เพราะคนอื่นๆก็เจอ)  เลยบอกว่าน้องไปว่าได้จองโรงแรม Prince 57 ไว้แล้ว แถมโอนเงินมาแล้วด้วย (จริงๆยังไม่ได้ทำอะไรเลย)  ยังไงก็ต้องไปส่งเราที่โรงแรมนี้เท่านั้น  

ตอนแรกน้องเค้าก็ไม่ยอมคับ คะยั้นคะยอให้เราลงจากรถไปดูห้องให้ได้  แต่พวกเราไม่ยอมขยับเลยคับ เรียกว่าจับเก้าอี้ในรถแน่น  (ฝันไปเถอะ ลงจากรถก็เสร็จเอ็งสิ)     นานๆเข้าพอเห็นพวกเราไม่ยอมลงจากรถ แถมยังเจออาการประสานเสียงแข็งขันของคนไทย  น้องเขาก็เลยต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ แล้วพาไปส่งโรงแรม 

แต่....ถ้าใครคิดว่าหนุ่มเวียดน้อยคนนี้จะมีพิษสงแค่นี้ก็คิดผิดนะคับ  เพราะถึงแม้จะยอมขับรถไปส่ง แต่ก็ส่งไม่ถึงโรงแรม    อยู่ดีๆ ก็จอดรถเอาดื้อๆ แล้วบอกว่าโรงแรมอยู่ทางไหนให้พวกเราเดินไปเอง   ชี้ทางเสร็จก็บอกว่ารถเข้าไปได้แค่นี้   อ้าวทำไมคันอื่นมันยังวิ่งต่อไปได้ (ว่ะ)!!!  

เท่านั้นยังไม่พอยังจะขอขึ้นค่ารถจากที่ตกลงไว้ 16$ เป็น 20$ อีก  !!!!  (โอ้โฮ ใครจะคิดว่าเห็นหน้าเด็กๆ ใสๆ ซื่อๆ ที่แท้จะเป็นตัวพ่อจอมขี้โกงเลย)

แต่คราวนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปจากครั้งที่แล้ว เพราะยังไงตอนนี้เราก็เข้ามาในตัวเมืองแล้ว  แถมระหว่างทางผมก็นั่งดูแผนที่มาตลอดด้วย เลยเห็นชื่อถนนของโรงแรมที่เราตั้งใจจะไปพักอยู่อีกไม่ไกลนี่เอง   ทางพวกผมจึงไม่ยอม  แบบเป็นไงเป็นกัน   ก่อนจะยื่นคำขาดว่าจะเอาหรือไม่เอา   เจอไม้แข็งแบบนี้ น้องเขาก็เลยถอดใจ รับเงินเราไปแบบหงุดหงิด (แต่คนจ่ายหงุดหงิดกว่า)  แล้วก็ซิ่งรถออกไปเลย

เจอโดนทิ้งก่อนถึงโรงแรมแบบนี้ ก็เลยต้อกางแผนที่กันใหญ่เลยคับ แต่ในที่สุดก็เราก็หา โรงแรม Price 57 จนเจอ 



โรงแรม Price 57  เป็นโรงแรมที่นักท่องเที่ยวแบกเป้นิยมมาพักกัน  เนื่องจากราคาถูก (มาก) ทำเลดี (มาก) อยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ แบบเดินถึง แล้วก็อยู่ใกล้แหล่งอาหารการกินด้วย  ที่สำคัญโรงแรมแห่งนี้สามารถต่อรองราคาได้ตามฤดูกาล (ยังกะผลไม้)  ซึ่งเราต่อรองราคาได้ห้องละ 10 เหรียญ จาก 12 $ ก็ตกลงเอาเลย เพราะต้องบอกว่าเป็นคืนที่พวกเราเหน็ดเหนื่อยและหิวมาก  แม้ราคาที่ได้อาจจะแพงกว่าข้อมูลที่ได้มานิดหน่อย แต่คิดเป็นเงินไทยแล้ว ก็ 300 กว่าบาทเอง ถือว่าถูกและคุ้มมากแล้ว

สำหรับโรงแรมนี้ไม่ไ้ด้หรูหรามากมาย  เรียกว่าสมราคาสำหรับนักท่องเที่ยวแปกเป้ที่ต้องการความประหยัด และสะดวกในการเดินทาง   เพราะห้องไม่ใหญ่มาก แต่สะดวกสบาย มีแอร์ ทีวี น้ำอุ่น กับของแถมเป็นผ้าห่มมีกลิ่นฉุน (จนทำเอานอนไม่หลับ 55)


เอากระเป๋าจัดแจงเข้าห้องพักเรียบร้อยแล้ว ก็รีบออกไปหาอะไรทานคับ ตอนนั้นค่อนข้างดึกแล้ว ร้านต่างๆ สวนใหญ่ปิดกันหมดแล้ว  โชคดีมีร้านเฝอริมทางร้านหนึ่งยังเปิดอยู่  น้ำซุปหอมมากมายจนเราก็รีบเข้าไปลิ้มลองคับ



เฝอ ถือเป็นอาหารหลักของคนเวียดนาม หากินได้ทุกที่ ทุกเวลา  จะมีลักษณะเหมือนก๋วยเตี๋ยว แต่เส้นเหมือนขนมจีน    ซึ่งเฝอในเวียดนามนั้นมีหลายแบบ  อย่างที่เราจะทานกันคืนนี้คือเฝอเป็ด  ซึ่งต้องบอกเลยว่ารสชาติอร่อยมากกกกกก  (ตอนนั้นยังไม่สังเกตุถึงเบื้องหลังความอร่อยว่ามาจากอะไร)  แต่กินแล้วประทับใจมาก สำหรับอาหารเวียดนามมื้อแรก



กินกันอิ่มแล้วก็รีบกลับโรงแรมเลยคับเพราะถึงแม้จะได้พลังงานจากอาหารกลับมาแล้ว  แต่น้องเวียดหน้ามนจอมโกงตัวพ่อคนนั้นดูดพลังกายและใจพวกเราไปมากมาย  จนต้องรีบกลับไปนอนชาร์ตพลังกันเพื่อตื่นมาสู้กับวันใหม่ในเวียดนามที่ไม่รู้ว่าจะเจอฤทธิ์เดชขั้นกว่าของกลโกงจากคนอื่นๆ อีกหรือเปล่า

หลับเป็นตายเลยล่ะคับ งานนี้


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น