การเดินทางไปง่ายและถูกมากคับ โดยไปตั้งจุดเริ่มต้นกันที่ทะเลสาปคืนดาบ แล้วเดินไปที่วงเวียนที่มี KFC บริเวณฝั่งทะเลสาปจะมีคิวรถเมล์จอดอยู่ เราก็แค่มองหารถเมล์หมายเลข 9 แล้วก็พกความมั่นใจขึ้นไปเลยคับ รถเมล์สายนี้นี่แหละจะพาเราไปถึงสุสานโฮจิมินทร์ในราคาที่ถูกมากคือแค่ 3000 ดอง หรือ 6 บาทแค่นั้นเอง
นั่งไปไม่ไกลมากก็ให้สังเกตุว่านี่คือป้ายที่จะลง จุดสังเกตุอีกอย่างคือฝั่งตรงข้ามจะเป็นร้านเบเกอร์รี่และกาแฟ (ยังอยู่หรือเปล่าไม่รู้) ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดอาจจะสะกิดกระเป๋ารถเมล์ไว้ ให้ช่วยบอกพอถึงจุดหมายด้วย
พอถึงจุดหมายแล้วก็เดินถอยหลังกลับมานิดนึงก็จะเห็นทางเข้าไปลานอันกว้างใหญ่เราก็เดินเข้าไปเลยคับ รับรองรู้ได้ไม่ยากเพราะจะมีนักท่องเที่ยวมากมายเดินกันขวักไขว่ไปหมดเลย แต่ก่อนที่จะไปถึงสุสานโฮจิมินทร์ เราขอแวะไปชม ...พิพิธภัณฑ์โฮจิมินทร์...กันก่อนคับ อยู่ในบริเวณเดียวกันเลย
พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ ( Ho Chi Minh Museum ) ตั้งอยู่ใกล้กับสุสานโฮจิมินห์ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1985 เป็นรูปแบบของอาคารสมัยใหม่ สร้างโดยชาวโชเวียตเพื่อรำลึกถึง โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh) นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีของเวียดนาม ภายในมีการจัดแสดงนิทรรศการมากมาย ที่สำคัญมีประวัติการปฏิวัติของโฮจิมินห์ตลอดชีวิตอีกด้วย โดยมีการรวบรวมภาพวาด 3000 ภาพ และโบราณวัตถุอีกกว่า 700 ชิ้น
โดยส่วนตัวผมชอบพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มากเพราะภายในนอกจากการติดภาพและข้อความบรรยายประวัติศาสตร์ บลา บลา บลา เหมือนพิพิธภัณฑ์ทั่วไปแล้ว ภายในยังมีงานปฎิมากรรมแปลกๆให้ได้ชมกันซึ่งงานแต่ละชิ้นจะมีความหมายในตัวมันเองเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของการปฏิวัติด้วย ทำให้นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ สามารถใช้จินตนาการตีความได้ (แต่ถ้าอยากรู้ว่าตีความถูกมั้ย เค้าก็มีเขียนคำอธิบายเฉลยไว้ด้วยคับ)
จากพิพิธภัณฑ์ออกมาด้านนอกก็เจอกับ...เจดีย์เสาเดียว....จุดท่องเที่ยวอีกอย่างในบริเวณนี้เลย
เจดีย์เสาเดียว (One Pillar Pagoda) มีตำนานเล่าว่าพระเจ้าหลีไทโต ทรงเป็นทุกข์เนื่องจากไม่มีรัชทายาทเพื่อสืบราชบัลลังก์ แต่ต่อมาคืนหนึ่งได้ทรงสุบินฝันเห็นเจ้าแม่กวนอิมนั่งอยู่บนใบบัวแล้วยื่นเด็กชายให้ หลังจากนั้นไม่นานพระองค์ก็ได้รัชทายาทตามที่ฝันไว้ทุกประการ
พระองค์จึงสร้าง เจดีย์ขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บนเสาต้นเดียวกลางสระบัวเพื่อเป็นการถวายสักการะแด่เจ้าแม่กวนอิม ในปี คศ. 1049 ถึงตรงนี้คงเดาได้ไม่อยากแล้วนะคับว่าเจดีย์เสาเดียวนี้จึงเป็นสถานที่ๆคนเวียดนามจะนิยมมาขอลูกกัน
จากเจดีย์เสาเดียวจุดหมายต่อไปของเราก็คือ สุสานโฮจิมินห์ เดินออกมาไม่ไกลคับ
สุสานโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh’ s Mausoleum) ตั้งอยู่บริเวณจัตุรัสบาสดิงห์ (Ba Dinh) สุสานแห่งนี้ได้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2516 เสร็จในปี พ.ศ. 2518 เป็นอาคารหินอ่อนและหินแกรนิตรวมถึงไม้เนื้อดีจากทั่วประเทศ เพื่อเป็นสถานที่เก็บศพของโฮจิมินห์ หรือที่ชาวเวียดนามเรียกว่า บั๊กโฮ ซึ่งแปลว่าลุงโฮ ที่ถือเป็น รัฐบุรุษอันดับหนึ่งตลอดกาลของชาวเวียดนาม โดยหากใครต้องการเข้าไปชมต้องเสียค่าเข้า 10000 ด่อง
โฮจิมินห์ เป็นแกนนำสำคัญในการปลดแอกเวียดนามจากการยึดครองของฝรั่งเศส และในเวลาต่อมาก็ยังเป็นผู้ที่รวมเวียดนามเหนือ-ใต้ ให้กลายเป็นประเทศเวียดนามขึ้นมาได้
ด้านในจะเป็นที่เก็บศพโฮจิมินห์ ซึ่งอาบน้ำยาอยู่ในโลงแก้วเพื่อให้ผู้คนที่เข้ามาชมได้รู้จักรัฐบุรุษท่านนี้ แต่ทั้งหมดนี้เป็นการกระทำที่ขัดต่อความต้องการของโฮจิมินห์ เพราะจริงๆแล้วท่านต้องการให้เผาร่างเมื่อตายลง
สำหรับห้องนี้ไม่อนุญาตให้นำกล้องถ่ายรูป วีดีโอ โทรศัพท์ หรือกระเป๋าทุกชนิดเข้าไปโดยเด็ดขาด
ปีนี้เราค่อนข้างโชคร้ายเนื่องจากเรา เดินทางไปคารวะศพลุงโฮในช่วงที่มีการนำศพของท่านไปอาบน้ำยาใหม่ที่ประเทศรัส เซียพอดีซึ่งจะมีการทำเช่นนี้ในช่วงเดือนตุลาคม - พฤศจิกายนของทุกปี ดังนั้นด้านในก็จะปิด ไม่สามารถเข้าได้ ส่วนในช่วงปกติที่มีร่างของลุงโฮอยู่ก็จะเปิดให้ชมเฉพาะช่วงเช้าคือ 7.30 - 11.00 นาฬิกาเท่านั้น เพราะฉะนั้นควรเวางแผนการเดินทางไปเข้าชมให้ดีคับ
จากบริเวณจัตุรัสบาสดิงห์ เราจะมองเห็นที่ทำการของรัฐบาลอยู่บริเวณใกล้ด้วย ตึกก็ไม่ได้ใหญ่โตมาก แต่สวยงามดีคับ
จากจตุรัสเดินขึ้นไปอีกนิดก็จะเป็นทางเข้าไปทำเนียบประธานาธิบดี และบ้านพักของท่านโฮจิมินห์ แต่ก็ต้องบริหารจัดการเวลาอีกเช่นกัน เพราะที่นี่จะเปิดตั้งแต่ 7.30 - 11.00 และจะเปิดอีกครั้งตอน 14.00 - 16.00 เพราะฉะนั้นถ้าใครมัวแต่เดินชมส่วนอื่นเพลิน ก็จะมาติดช่วงเวลาพักเที่ยงตอน 11 โมง และต้องรอ 2 ชั่วโมงทีเดียวกว่าจะเข้าชมได้ (สำหรับผมก็ติดเที่ยงเหมือนกัน เลยออกไปทานร้าน Zen ร้านบุปเฟ่ย์ชื่อดังของฮานอย ซึ่งอยู่ไกลออกไป แต่ไปกลับก็พอดีเวลา โดยผมจะขอนำเสนอร้านอาหารร้านนี้ในตอนหน้า)
ทำเนียบประธานาธิบดี(Presidential Palace) และบ้านพักของโฮจิมินห์ ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน โดยทำเนียบประธานาธิบดี(Presidential Palace) นั้น สร้างโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศสในช่วงที่ฝรั่งเศสปกครองเวียดนาม เป็นตึกสไตล์โคโลเนียลเพื่อใช้เป็นที่พำนักของเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศส หลังจากเป็นเอกราชเวียดนามจึงได้เปลี่ยนสถานที่แห่งนี้เป็นทำเนียบประธาธิบดี ซึ่งไม่ได้เปิดให้เข้าชมด้านใน
ส่วนบ้านพักลุงโฮนั้น มี 2 หลังเป็นบ้านสไตล์โคโลเนียล ซึ่งท่านใช้พำนักในช่วงปี 1954 - 1958 (เดิมเป็นบ้านพักของผู้ว่ากรุงฮานอย ชาวฝรั่งเศส) และ บ้านพักไม้ 2 ชั้น แบบเรียบง่ายคล้ายๆ บ้านสมัยก่อนในบ้านเราซึ่งเป็นการจำลองมาจากบ้านของลุงโฮตอนที่อยู่ในป่าระหว่างปี 1958 - 1969 โดยมีการจัดแสดงห้องทำงาน ห้องรับแขก ห้องนอน รถประจำตำแหน่งสมัยที่ท่านใช้ไว้ให้ชมกันด้วย
ห้องทำงาน |
บริเวณโดยรอบ |
ห้องรับแขกด้านล่าง |
ห้องทำงานเล็กๆ |
บ้านลุงโฮจำลองมาจากสมัยอยู่ในป่า |
ห้องอาหาร |
ได้เห็นวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและสมถะของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ท่านนี้แล้วก็อดชื่นชมและให้ความเคารพไม่ได้คับ และนี่เองกระมังที่น่าจะเป็นรูปแบบและหลักการที่แท้จริงของระบอบคอมมิวนิสต์
แต่น่าเสียดายที่ในที่สุดแล้วผมเชื่อว่า "อุดมการณ์" ก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล ยากที่จะถ่ายทอดหรือทำให้คนอื่นปฏิบัติเหมือนกับคนต้นคิดหรือต้นแบบได้ ดังที่เราเห็นและรู้ดีอยู่แล้วว่าระบอบคอมมิวนิสต์จะดูสมบูรณ์แบบในช่วงแรกๆที่นำมาใช้เท่านั้น เรียกว่าเป็นช่วงที่อุดมการณ์กำลังเข้มข้น แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนผ่านและผู้มีอำนาจเริ่มเสพติดกับอำนาจและความสุขสบายที่ตัวเองมี อุดมการณ์ที่เลิศหรูเหล่านั้นก็ได้เปลี่ยนโฉมไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งในรัสเซีย (ซึ่งล่มสลายไปแล้ว) จีน (ซึ่งช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน ถ่างห่างยิ่งกว่าประเทศทุนนิยมเสียอีก )
แม้กระทั่งเวียดนามเอง จากที่ผมได้สัมผัสและมีเพื่อนเป็นชาวเวียดนามหลายคน ก็ได้ค้นพบความจริงว่า...การทำให้ทุกคนเท่าเทียมนั้น...ไม่มีอยู่จริงในระบอบนี้ (เพื่อนเวียดนามที่เป็นชนชั้นนำเหล่านี้ มีชีวิตหรูหรากว่าผมซึ่งอยู่ในประเทศทุนนิยมเสียอีก ในขณะที่คนอีกจำนวนมากยังยากจน ไม่มีกิน จนต้องอพยพไปแย่งที่ทำกินในประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาหลายล้านคน)
ดังนั้นผมคิดเอาเองว่า ลุงโฮอาจกำลังเสียใจอยู่ที่เวียดนามในวันนี้กำลังเดินห่างออกไปจากความตั้งใจของลุงโฮไปมากมายทีเดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น