วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เวียดนาม # 7 ฮาลองเบย์ / ถนนคนเดิน

วันนี้เรายังคงต้องตื่นกันแต่เช้าตรู่เหมือนเคยเพราะวันนี้เรามีนัดจะต้องนั่งรถออกไปนอกเมืองเพื่อไปชมแหล่งท่่องเที่ยวที่อาจจะเรียกได้ว่าโด่งดัง และสำคัญที่สุดของเวียดนามนั่นคือ....ฮาลองเบย์


สำหรับการเดินทางไปฮาลองเบย์ เราสามารถซื้อบริการแบบ 1 day tour ซึ่งหาซื้อทัวร์นี้ได้ตามเอเจนซี่หรือโรงแรมทั่วไป  ส่วนพวกเราได้ตัดสินใจเลือกซื้อทัวร์นี้ที่โรงแรมที่พักของเราเลยในราคา 20$ ซึ่งเป็นราคาที่เราเช็คมาล่วงหน้าแล้วว่าพอรับได้  นอกจากนั้นการซื้อทัวร์ผ่านโรงแรมที่พักทำให้พวกเราค่อนข้างเชื่อว่าคงจะไม่มีเรื่องตุกติก เพราะยังไงเราก็ยังเป็นแขกพักอยู่ที่นี่ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็สามารถกลับมาโวยทางโรงแรมได้ตลอดเวลา  โรงแรมคงไม่กล้าเอาทัวร์แย่ๆมาให้แขกที่พักกับโรงแรมแน่ๆ

ที่ต้องเล่าเหตุผลตรงนี้เพราะคงต้องย้ำอีกครั้ง (กลัวอ่านมาหลายๆตอนแล้วลืม) ว่าเวียดนามเป็นประเทศที่เสี่ยงต่อการโฆษณาชวนเชื่อที่เ้กินจริงและเรื่องหลอกลวงตลอดเวลา (ไม่ได้จะอคตินะคับ แต่เจอกับตัวหลายเรื่องทีเดียว ไม่นับที่เขาเล่าต่อๆกันมาจนกระฉ่อนไปทั่วทั้งวงการในโลกไซเบอร์)

อย่างที่ผมไปฮาลองเบย์ ก็ไปเจอกลุ่มคนไทยกลุ่มหนึ่งที่ซื้อทัวร์ฮาลองเบย์แบบค้างคืน (เรือจะทำเป็นเหมือนโรงแรมให้นอนค้างในเรือได้)  แล้วก็กำลังโวยวายอย่างหนักด้วยภาษาไทย เลยรู้เรื่องราวคร่าวๆว่าเขาซื้อทัวร์มาแต่ได้เรือที่เก่าและโทรมมากๆ ไม่เหมือนที่โฆษณาไว้ แถมอาหารก็ห่วยจนกินไม่ได้   ส่วนคนอื่นๆที่มาด้วยกันก็ยืนกันแบบเซ็งๆ เศร้าๆ เพราะถึงตรงนั้นก็คงแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว    เพราะฉะนั้นขอย้ำนะคับว่าถ้าจะซื้อบริการใดๆ ก็แล้วแต่ในเวียดนาม คงต้องหาบริษัทที่น่าเชื่อถือดีกว่าคับ  อย่าเสี่ยงมองโลกในแง่ดีเลย

กลับมาที่เรื่องของเรากันต่อ  ไม่รู้ว่าเ้ป็นเพราะช็อคจากปาท่องโก๋ตกพื้น หรือเป็นผลค้างเคียงจากการกินผงชูรสมากเกินไป ก็เลยทำให้พวกเราตื่นกันค่อนข้างสายคับ (555 มั่วไปเนียนๆ)  เช้านี้ก็เลยไปหาอาหารเช้าทานกันไม่ทัน  งานนี้เลยต้องอาศัยขนมฟาร์มเฮ้าท์ที่พกมาจากเมืองไทยมากินประทังชีวิตไปก่อน  เพราะรถมารับพวกเราตรงเวลาคับ ที่บริเวณหน้าโรงแรมเลย


จากฮานอยไปฮาลองเบย์ใช้เวลาประมาณ 3 ช.ม (150 ก.ม) ก็หลับไปเพลินๆ คับ แต่ระหว่างทางก็มีแวะให้เข้าห้องน้ำ รวมทั้งใครที่ยังไม่ทานมื้อเช้าก็สามารถหาอาหารรองท้องได้  ส่วนคนที่เป็นพวกรักการช็อปเข้ากระแสเลือด ที่นี่ก็มีงานฝีมือจากเด็กๆพิการหรือกำพร้าให้เลือกซื้อหาไปเป็นของที่ระลึกได้ แถมยังได้ทำบุญด้วย



พวกเรามาถึงท่าเรือฮาลองเบย์ก็ราวๆ 11 โมง   ที่นี่มีผู้คนเยอะแยะมากมายสมเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โด่งดังของเวียดนาม  โดยบริเวณท่าเรือจะมีเรือมังกร ซึ่งเป็นเรือที่จะนำเราไปชมอ่าวฮาลองเบย์ที่สวยงามจนได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลกจอดเรียงรายอยู่  ซึ่งเรือแต่ละลำนั้นก็มีตั้งแต่ขนาดเล็กไปถึงใหญ่มากๆ สำหรับใช้ค้างคืนด้วย

สำหรับใครที่เดินทางมาที่ท่าเรือด้วยตัวเองก็สามารถมาซื้อตั๋วขึ้นเรือที่บริเวณท่าเรือนี้ได้เหมือนกัน


ส่วนพวกเราที่ซื้อทัวร์มาแล้วก็เดินตามเจ้าหน้าที่ไปนั่งรอสักพัก ก็ถูกตามไปขึ้นเรือคับ  โดยเรือแต่ละลำนั้นจะจุคนไม่เกิน 10 คนต่อลำ ซึ่งก็ดีนะคับเพราะไม่แออัดเกินไป   และที่หัวเรือนั้นจะสังเกตุได้ว่าจะมีการสลักรูปหัวมังกรที่หัวเรือทุกลำ  ด้วยเหตุนี้มังคับก็เลยทำให้เรือนำเที่ยวฮาลองเบย์แห่งนี้ได้รับการเรียกขานว่า...เรือหัวมังกร



เมื่อได้เวลาฤกษ์ดี (ออกตอนไหน ก็ฤกษ์ดีตอนนั้นล่ะคับ) เรือก็เริ่มออกจากท่าไปสู่ท้องน้ำอันเวิ้งว้าง แต่ไม่เดียวดายเพราะมีเรือลำข้างๆ หลายลำทยอยออกจากท่าตามเรามาติดๆ



 ฮาลองเบย์  (Halong Bay)  หรือ อ่าวฮาลอง เป็นส่วนหนึ่งของอ่าวตังเกี๋ยในทะเลจีนใต้  ประกอบไปด้วยหมู่เกาะกว่า 3,000 เกาะ และมีเนื้อที่กว่า 4,000 ตารางกิโลเมตร เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับการยอมรับว่ามีความสวยงามและสมบูรณ์ทางธรรมชาติ ทั้งสายน้ำที่เงียบสงบและหมู่เกาะต่างๆที่อยู่รายรอบนับพัน จนได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปี 2537    


 คำว่า "ฮาลอง" นั้นมีความหมายว่า "มังกรร่อนลง" ซึ่งมาจากตำนานที่มาของฮาลองเบย์ที่เล่าสืบต่อกันมาว่า ในอดีตระหว่างที่ชาวเวียดนามกำลังต่อสู้กับกองทัพจากประเทศจีน  เทพเจ้าได้ส่งกองทัพมังกรลงมาช่วยปกป้องแผ่นดินเวียดนาม  ทัพมังกรเหล่านี้ได้ดำดิ่งลงสู่ท้องทะเลบริเวณที่เป็นอ่าวฮาลองในปัจจุบัน ทำให้มีอัญมณีและหยกพุ่งกระเด็นออกมา จนกลายเป็นเกาะแก่งน้อยใหญ่กระจายอยู่ทั่วอ่าว ถือเป็นเกราะป้องกันผู้รุกราน ทำให้ชาวเวียดนามปกป้องแผ่นดินของพวกเขาได้สำเร็จและก่อตั้งประเทศซึ่งต่อมา ก็คือเวียดนามในปัจจุบัน

 การนั่งเรือล่องชมอ่าวฮาลองเบย์นั้นจะมีการแวะนำชมจุดสำคัญๆ 2 - 3 จุด ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ..... 

ถ้ำเด่าโก๋ (Dao Go) หรือที่เรียกกันว่า "ถ้ำสวรรค์" ซึ่งเป็นถ้ำที่มีหินงอกหินย้อย ที่ถ้าอ่านจากข้อมูลต่างๆ จะบอกว่ามีความสวยงามตระการตา โดยในถ้ำแห่งนี้จะมีห้องโถงใหญ่ให้นักท่องเที่ยวได้ชมความงามของหินงอกหินย้อยถึง 3 ห้อง




แต่จากการไปสัมผัสด้วยตาตัวเอง คงต้องขอแชร์ข้อมูลตามตรงว่าไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด หรืออย่างน้อยๆ ก็สวยสู้ถ้ำหินงอกหินย้อยในบ้านเราหลายๆถ้ำไม่ได้   เพราะที่นี่เน้นจัดแสงสี สาดเข้าไปยังหินงอกหินย้อยเพื่อให้ดูสวยงาม ตระการตา  มากกว่าที่จะได้เห็นความสวยงามตามการรังสรรค์จากธรรมชาติจริงๆ  ซึ่งเมื่อพูดถึงตรงนี้ก็อดภูมิใจในถ้ำหินงอกหินย้อยในเมืองไทยหลายๆแห่งไม่ได้ เพราะเท่าที่ผมเคยได้ไปเที่ยว ก็ได้รับข้อมูลมาว่าในเมืองไทยเราเลิกใช้ไฟสีๆแบบนี้สาดเข้าหาหินงอกหินย้อยในถ้ำมานานแล้ว  เพราะนอกจากจะ Fake และไม่เป็นธรรมชาติแล้ว  แสงไฟที่สาดเข้าไปนั้นจะไปทำลายหินงอกหินย้อยให้เสื่อมสภาพเร็วขึ้น    

การท่องเที่ยวเพื่อชมธรรมชาตินั้น ก็ควรอยู่บนหลักการว่าจะต้องไม่ไปทำลายธรรมชาติด้วยนะคับ !!!


 

เราใช้เวลาในถ้ำอัน(ไม่ค่อยจะ) สวยงามนี้แป๊บเดียวเองคับ  ก็ตัดสินใจออกมาดูวิวข้างนอก ซึ่งสวยงามกว่ามาก   จนเมื่อได้เวลาพวกเราก็เดินทางต่อไปหมู่บ้านประมง  ซึ่งบริเวณนี้เรือจะจอดนิ่งให้เรารับประทานอาหาร  แล้วก็ทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อพักผ่อนได้ เช่น  การพายเรือ  หรือลงเล่นน้ำ โดยจะมีแพที่ให้บริการเช่าอุปกรณ์ต่างๆ อยู่บริเวณนั้นเลย   หรือถ้าใครยังหลงใหลติดใจพวกถ้ำต่างๆอยู่เขาก็มีจัดทัวร์พาไปดูถ้ำอื่นๆอีก ซึ่งต้องเปลี่ยนเรือและจ่ายค่าทัวร์เพิ่ม เพราะส่วนนี้จะไม่รวมในโปรแกรมทัวร์ที่จัดมาตั้งแต่ต้น  โดยเรือจะนำกลับมาส่งที่เรือลำเดิมเพื่อกลับไปยังท่า  แต่สำหรับพวกเราหลังจากได้เห็นถ้ำอันแสนจะธรรมดาที่เด่าโก๋แล้ว ก็เลยตัดสินใจนอนเล่น ชมวิว กินบรรยากาศอยู่ในเรือที่บริเวณนี้ดีกว่า


 ส่วนเรื่องอาหารที่เสิร์ฟในเรือจะมีประมาณ 4 - 5 อย่างซึ่งก็เป็นอาหารธรรมดาๆ นะคับทั้งหน้าตาและรสชาติ  แต่ถ้าใครอยากจะกิน กุ้ง หอย ปู ปลาที่อลังการขึ้นมาหน่อยก็สามารถสั่งอาหารจานพิเศษจากแพที่เขาให้บริการอยู่ข้างๆ ได้  เรียกว่าได้ทานของสดๆกันเลย เพราะกุ้งหอยปูปลาเหล่านี้เขาก็แช่น้ำอยู่ในกระชังที่บริเวณแพของเขานั่นแหละคับ


นอกจากนั้นใครที่คิดว่ามาอยู่กลางน้ำ กลางทะเลแบบนี้แล้วคงไม่ได้ใช้เงิน ก็คิดผิดนะคับ เพราะบริเวณนี้จะคราคร่ำไปด้วยเหล่าแม่ค้าที่พายเรือมาเสนอสินค้าถึงที่  โดยมีเทคนิคการขายชั้นยอด นั่นคือใช้เด็กหน้าตา้บ้องแบ๊วน่าเอ็นดู มาเรียกคะแนนสงสารให้เรายอมควักเงินออกจากกระเป๋า  ซึ่งหลังจากได้พบปะกับเด็กเหล่านี้แล้วก็อนุมานได้ว่า...คนไทยมาเที่ยวที่นี่เยอะมาก...เพราะเด็กๆ แทบทุกคนพูดภาษาไทยได้หมดเลยคับ 555



นั่งเล่น นอนเล่น จนหลับไปหลายตื่น เพราะบรรยากาศน่ารื่นรมย์จริงๆ  คับ  จนได้เวลาที่เรือเริ่มเคลื่อนที่ออกไปเพื่อกลับไปยังท่าเรือ  โดยพอเรือออกมาสักพักก็ได้ยินเสียงประกาศจากไกด์ที่ฟังจากสำเนียงแล้วไม่แน่ใจคับว่าเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาเวียดนาม ฟังไม่ออกจริงๆ ที่สำคัญฟังจากน้ำเสียงแล้ว ดูไม่ใช่เรื่องสำคัยอะไร เพราะไกด์ก็ประกาศแบบเรื่อยๆ เฉื่อยๆ ไม่มีอะไรตื่นเต้น    ที่สำคัญตอนนั้นกำลังเคลิ้มๆ ไปกับบรรยากาศ สายลมเบาๆ  และแสงแดดอ่อนๆ กับภาพวิวทิวทัศน์ที่สวยงามอยู่ด้วย เลยไม่ค่อยสนใจสิ่งที่ไกด์ประกาศเท่าไหร่คับ



ตอนหลังถึงพึ่งมารู้คับว่าสิ่งที่ไกด์ประกาศนั้นสำคัญมาก เพราะกำลังบอกให้พวกเราดูสัญลักษณ์สำคัญของฮาลองเบย์นั่นคือ เกาะหินคู่ (The Fighting Cocks) หรือบางคนเรียก The Kissing Cocks  ที่รู้ก็เพราะว่ามีเพื่อนคนนึงจับภาพไว้ได้ตอนที่ไกด์ประกาศ แต่ก็ด้วยความบังเอิญนะคับเพราะไม่รู้เหมือนกันว่าไกด์ประกาศอะไร  ตอนกลับมามาดูรูปกับหนังสือนำเที่ยว ถึงได้รู้คับว่า...เราพลาดไปแล้ว (ยกเว้นเพื่อที่ถ่ายรุปไว้ได้)  แต่ก็อีตาไกด์นะ  ผ่านจุดสำคัญขนาดนี้ช่วยพูดให้เสียงดังฟังชัด และน่าตื่นเต้นตกใจกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้  เฮ้อ !!!!



 ล่องเรือพร้อมดื่มด่ำบรรยากาศภาพพระอาทิตย์ค่อยๆ ตกน้ำ    พร้อมทั้งเก็บเกี่ยวความสวยงามประทับใจจากวิวทิวทัศน์จนเต็มอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาพอดีที่เรือก็กลับมาถึงท่าเรือคับ ซึ่งจากจุดนี้เราก็นั่งรถตรงดิ่งกลับเข้าฮานอยกันเลย โดยคืนนี้เรามีนัดสำคัญอยู่ที่ถนนคนเดิน คับ 



กลับเข้าฮานอยรอบนี้เราต้องลงเดินกันไกลหน่อยคับ เนื่องจากจะมี ถนนคนเดิน ซึ่งจะมีเฉพาะคืนวันเสาร์และอาทิตย์ เท่านั้น  ดังนั้นรถจึงไม่สามารถขับเข้าไปบริเวณ Old Quarter ได้ 

ถนนคนเดินในฮานอยนั้นก็อยู่ไม่ไกลจากทะเลสาปคืนดาบเลยคับ  แค่เดินลงไปยังวงเวียนที่มีเคเอฟซีแล้วเดินลงไปตามถนนสายนั้นอีกนิดหน่อยก็จะเจอถนนตัดขวางเป็นทางยาวที่คึกคักไปด้วยผู้คน และร้านค้าที่ตั้งอยู่อย่างแน่นขนัดบนถนน  เห็นปุ๊บ ก็รู้ปั๊บว่าเป็นถนนคนเดินเลย

ระหว่างทางที่กำลังเดินมาถึงริมทะเลสาปคืนดาปก็เจอร้านน่าสนใจคับ  เป็นร้านที่ขายอะไรบางอย่างคล้ายๆฟลุ๊ตสลัดใส่ไว้ในแก้วพลาสติกแล้วตั้งไว้ในตู้  จริงๆแล้วผมไม่ได้เล็งร้านนี้ไว้ หรอกคับ แต่เพราะ 2 วันที่อยู่ในฮานอยเห็นมีหลายร้านขายฟลุ๊ตสลัดแบบนี้ก็เลยเดาว่าน่าจะฮิตที่นี่ เลยอยากลองชิมว่ามันเป็นยังไง

สรุปแล้วก็เป็นฟรุ๊ตสลัดใส่นมสด และน้ำแข็งคับ  รสชาติอร่อยมากทีเดียว  เหมือนกิน Ice monster ยังไงอย่างนั้น แต่ใช้น้ำแข็งบดหยาบๆแทน




ก่อนที่จะไปถนนคนเดินต่อพวกเราได้ตกลงกันว่าจริงๆ กองทัพต้องเดินด้วยท้องเราจึงตัดสินใจไปหาอะไรรองท้องกันก่อนที่ร้าน.... Little Hanoi ....ซึ่งเป็นร้านอาหารชื่อดังที่หนังสือนำเที่ยวชื่อก้องโลกอย่าง Lonely Planet ถึงกับแนะนำให้มาชิม 



ลองสั่งมาทานกันไม่กี่อย่างคับ เพราะอยากจะแค่ทานรองท้อง   รสชาตินั้นก็ถือว่าธรรมดาคับ ไม่ได้อร่อยพิเศษอะไรมากมาย แต่ราคานั้นเรียกว่าเอาการอยู่


  อิ่มกันแล้วก็มีแรงเดินล่ะคับ ว่าแล้วพวกเราก็ไปคะลุยช็อปกันที่ถนนคนเดินต่อเลย ซึ่งถนนสายนี้จะมีสินค้ามากมายหลากหลายชนิดให้นักท่องเที่ยวและคนฮานอยเองมาช้อปปิ้งกันอย่างจุใจ ทั้งของที่ระลึก เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า อาหารการกิน รวมทั้งบริการอื่นๆ เช่น แต่งโทรศัพท์มือถือ ต่อผม ทำเล็บ



 จริงๆ แล้วก่อนมา พวกเราก็ได้อ่านข้อมูลที่เป็นคำเตือนในการเดินช้อปปิ้งที่ถนนคนเดินแห่งนี้มาแล้วว่าให้ระวังสิ่งของมีค่าให้ดี เพราะมิจฉาชีพค่อนข้างเยอะ   พวกผมจึงค่อนข้างระวังตัวกันมาก เก็บข้าวของทุกอย่างที่มีค่าไว้อย่างมิดชิด  แต่ถึงจะระวังขนาดนี้แล้ว ก็มีเพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งโดนกรีดกระเป๋าสะพายจนได้  โดยเจ้าหัวขโมยได้กล้องถ่ายรูปไป 1 ตัวคับ  โชคดีนะคับที่มันไม่ได้เงินหรือพาสปอร์ตไปด้วย เพราะเพื่อนคนนี้เป็นคนเก็บเงินกลุ่ม ไม่งั้นคงเป็นเรื่องใหญ่กว่านี้

ใครที่เคยทำกล้องถ่ายรูปหายระหว่างท่องเที่ยวคงรู้นะคับว่ามันเซ็งแค่ไหน ที่จริงไม่ได้เสียดายกล้องหรอกคับ แต่รูปนับร้อย นับพันรูปในกล้องต่างหากที่หามาทดแทนไม่ได้  วันนั้นพวกเราก็เลยพลอยเดินแบบเซ็งๆกันไปด้วย  สุดท้ายก็เลยตัดสินใจเดินกลับโรงแรมเลยคับ



ระหว่างทางเดินผ่านร้านขายอาหารคล้ายๆ ปอเปี๊ยะสดที่เห็นในหนังสือนำเที่ยว ก็เลยลองเข้าไปทานกันคับ เพราะช่วงเย็นเพิ่งทานอะไรรองท้องไปนิดหน่อยเท่านั้น



ที่ร้านนี้ระหว่างที่นั่งรออาหาร ก็ได้เห็นกรรมวิธีการทำแบบใกล้ชิด ได้บรรยากาศดีคับ ดูทำง่ายๆ แต่วัตถุดิบต่างๆ ก็ดูดี น่าจะอร่อย  ซึ่งพอได้ลองทานก็ต้องยอมรับคับว่า...ของเค้าอร่อยจริงๆ....ทั้งปอเปี๊ยะสด และ หมูยอสด

...อย่างนี้สิถึงเรียกว่าได้มากินถึงต้นตำหรับ !!!



 

วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เวียดนาม # 6 โบสถ์ St.Joseph / ตลาดดอนซวน

บริเวณทะเลสาปคืนดาบถือเป็นแหล่งใจกลางสำคัญของฮานอย เพราะนอกจากจะเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ แล้ว  ยังมีร้านค้า ร้านอาหารมากมายให้เลือกสรรทั้งการกินและช้อปปิ้ง  จนอาจจะถือได้ว่าเป็นย่านที่มีความเจริญสูงสุดแล้วในเมืองหลวงของเวียดนามแห่งนี้



ออกจากโรงละครหุ่นเราก็มุ่งหน้าไปกันต่อที่โบสถ์ St. Joseph โดยต้องเดินเลาะริมทะเลสาปคืนดาบขึ้นไป ก็เลยมีโอกาสเจอกับร้านขายน้ำ เป็นรถคันเล็กๆสีสันบาดตาที่ทุกคนเห็นแล้วก็ลงมติว่าหน้าตาร้านดูดีมีสกุล น่าจะลองไปอุดหนุนกันหน่อย



น้ำของร้านนี้มีหลายๆแบบ ทั้งชานมไข่มุกและน้ำหน้าตาประหลาดๆอีกมากมาย   ผมพยายามเลือกน้ำที่ดูธรรดาที่สุดซึ่งก็คือชานมไข่มุกธรรมดาๆ นั่นเอง เพราะยังไม่อยากเสี่ยงกับน้ำหน้าตาประหลาดๆ อื่นๆที่วางอยู่   แต่เพื่อนบางคนก็อยากลองของใหม่ เลยตกลงใจซื้อน้ำอะไรบางอย่างที่เหมือนชานมใส่ข้าวเหนียวดำ

หน้าตานั้นว่าแปลกแล้ว แต่เพื่อนฟันธงว่ารสชาตินั้น...แปลกยิ่งกว่า ดีแล้วที่ไม่สั่ง  555



ได้อีกหนึ่งประสบการณ์แปลกใหม่จากน้ำหน้าตาแปลกๆแล้ว เราก็เดินกันไปต่อ (โดยใช้แผนที่นำทาง) เพื่อไปยังยังโบสถ์ St. Joseph ซึ่งใช้เวลาไม่นานคับ เราก็เดินมาถึงโบสถ์คริสต์ที่ได้ชื่อว่าสวยงามและเก่าแก่ที่สุดในฮานอย




โบสถ์เซนต์โยเซฟ (St. Joseph) เป็นโบสถ์ที่ชาวเวียดนามจะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าโบสถ์ใหญ่ ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งของเจดีย์ บ่าว เทียน แต่ในยุคที่ฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเวียดนามได้ทำลายเจดีย์แห่งนี้และสร้างโบสถ์คริสต์ขึ้นมาแทนโดยให้เหตุผลว่าเพื่อพัฒนาเวียดนามให้มีโบสถ์ที่สวยงามเหมือนนานาประเทศ ซึ่งเป็นเหตุผลที่แสนจะ  #$@%4#4^7$36 (เป็นคำหยาบไม่สามารถออกอากาศได้)



โบสถ์แห่งนี้ถือเป็นโบสถ์ในนิกายโรมันคาทอลิก สร้างขึ้นในปี 1886 ด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Neo Gothic โดยพยายามจำลองความสวยงามมาจากโบสถ์ Notre Dame ของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส



นอกจากความสวยงามของตัวโบสถ์แล้ว รูปสักการะของพระแม่มารีด้านหน้าโบสถ์ก็มีความสวยงามควรค่าแก่การมาเยือนเป็นอย่างยิ่ง  แต่น่าเสียดายที่วันนั้นเราไปถึงค่อนข้างเย็นแล้ว จึงไม่สามารถเข้าไปชมด้านในได้

  
ชมความงามของโบสถ์เซนต์โยเซฟกันจนอิ่มใจแล้ว เราก็เดินไปต่อ (เดินกันน่องโต) เพื่อที่จะไปตลาดดอนซวนซึ่งเป็นตลาดที่จำหน่ายสินค้ามากมายหลากหลายชนิดให้ช้อปปิ้งกันในตลาดเดียว  ซึ่งระหว่างทางเราก็ผ่านร้านของกิน (อีกแล้ว)  เป็นร้านที่ขายของทอดเหมือนปอเปี๊ยะทอด  ซาลาเปาทอด หมูยอทอด ท่าทางน่ากินมาก



ที่สำคัญ ร้านนี้มีคนนั่งยองๆ กินกันเต็มร้าน   แถมต่อคิวซื้อกันมากมาย  ปรากฎการณ์นี้ที่ไหนๆก็คงเหมือนกันทั่วโลกโดยไม่ต้องมีใครมาอธิบายว่า...ท่าทางจะเป็นร้านดัง แล้วก็คงจะอร่อย  เราก็ตัดสินใจสั่งมาอย่างละนิดละหน่อยขอลองชิมบ้าง แล้วก็ไม่ผิดหวังคับเพราะของเขา อร่อยจิง ดีจิง ทั้งกรุบกรอบและรสชาติดีอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะน้ำจิ้มต้นตำรับแท้ๆแบบเวียดนาม พอมาทานคู่กับทั้งปอเป๊ยะ ซาลาเปาทอด และหมูยอ  มันอร่อยมากๆๆๆ....

...มิน่าล่ะ ถึงมีคนมาทานกันมากมายขนาดนี้ เป็นลาภปากจริงๆ


เพราะมัวแต่ชมโน่น ชมนี่ แถมแวะกินตลอดทาง กว่าที่เราจะมาถึงตลาดดอนซวนก็ค่ำมืดแล้วคับ ร้านค้าก็ทยอยปิดกันไปบ้างแล้ว แต่เท่าที่ลองเดินดูก็ไม่ได้มีสินค้าอะไรแปลกใหม่ หรือพิเศษกว่าที่อื่นๆ   สินค้าพวกนี้มีอยู่ทั่วไปแถวทะเลสาปคืนดาบ และย่าน Old Quarter ก็เลยไม่ได้ช้อปอะไรกันเลยคับ



ถึงไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมา แต่อย่างน้อยก้ได้มาเห็นหน้าตาของตลาดดอนซวนตามเช็คลิสต์แล้ว เวลามีใครถามจะได้ไม่เสียหน้า 555     ว่าแล้วพวกเราก็เดินกลับไปย่าน old quarter ที่ริมทะเลสาปกันอีกครั้งเพื่อหาอะไรทานเป็นมื้อเย็นคับ (หิวกันตลอดเวลา)

ยิ่งดึกย่าน old quarter ที่ริมทะเลสาปคืนดาบยิ่งคึกคักคับ เพราะมีร้านรวงมาตั้งขายสินค้าและอาหารแบบแบกะดินกันมากมาย แถมพวกฝรั่งที่ไม่ค่อยเห็นหน้าในช่วงกลางวันก็โผล่มาจากไหนไม่รู้คับ เยอะแยะมากมาย (ทำตัวยังกะผีดิบ) 


วันนี้เราลองเมนูแรกด้วยอะไรบางอย่างไม่รู้คับ ดูแล้วคล้ายๆ ส้มตำ  ร้านนี้เราใช้วิธีสังเกตุแบบเดิมๆ คือเลือกร้านที่มีคนนั่งทานเยอะๆ (เยอะจริงๆ) แถมมีคนต่อคิวซื้อกันยังกะแจกฟรี ก็เลยลองเข้าไปซื้อมาชิมด้วย   หน้าตามันจะเหมือนเอามะละกอฝอยมาราดด้วยน้ำปรุงรสที่เขาทำมาไว้แล้ว  โรยหน้าด้วยถั่วลิสงและอะไรบางอย่างเป็นแผ่นๆ ดูกรอบๆ น่าทานมากคับ  แต่พอจะลองทานเท่านั้นแหละ ข่าวร้ายก็มาเยือนเพราะกลิ่นที่โชยมาค่อนข้างบอกชัดเจนว่าเจ้าแผ่นบางๆ กรอกๆนั้นดูท่าจะเป็นเนื้อคับ และเนื่องจากผมเป็นคนไม่ทานเนื้อก็เลยต้องขอบายเมนูเด็ดจานนี้ไปอย่างน่าเสียดาย TT

แต่เพื่อนๆ ที่ได้ลองชิม ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันคับว่า....อร่อย..ฉะนั้นใครมีโอกาสก็ไปลองทานกันดูนะคับ


หลังจากต้องนั่งตาปริบๆ มองเพื่อนๆทานอย่างเอร็ดอร่อย ก็ได้เวลาของผมบ้าง เพราะคราวนี้เราได้ไปลองร้านเฝอร้านนึงที่เล็งไว้ตั้งแต่เดินผ่านแล้วว่าหน้าตาน่าทานและอยากจะลองมาชิม



อย่างที่ผมเกริ่นไว้ตั้งแต่แรกๆคับว่า เฝอ ในเวียดนามนั้นมีหลายแบบ (คงคล้ายก๋วยเตี๋ยวบ้านเรา) ซึ่งเฝอร้านนี้จะมีน้ำซุปออกสีเหลืองๆ กลิ่นเหมือนไก่ต้มขมิ้น  ผมก็เลยอยากลองทานดู  ซึ่งปรากฎว่ารสชาตินั้นอร่อยล้ำคับ อร่อยจริงๆ  ยิ่งทานคู่กับปาท่องโก๋แล้ว ยิ่งเป็นเมนูที่พลาดไม่ได้เลย


แต่ระหว่างที่กำลังชื่นชมกับรสชาติของเฝออันแสนจะเอร็ดอร่อยที่กำลังทานอยู่นั้น  สายตาก็ดันไปเห็นเคล็ดลับเบื้องหลังความอร่อยของเฝอชามนี้  เพราะเห็นกับตาว่าเจ๊แม่ค้าตักผงขาวๆ ซึ่งคงเป็นผงชูรสกระหน่ำใส่ลงไปในชามเฝอที่มีลูกค้าคนใหม่กำลังสั่งแบบไม่ยั้ง  ถึงช้อนจะเล็กไม่ใหญ่มาก แต่เจ๊เล่นตักใส่แบบไม่ขี้เหนียว เท่าที่นับได้น่าจะไม่ต่ำกว่า 5 ช้อน  

งานนี้เห็นแล้วตกใจเลยคับ เพราะนี่ยังไม่นับผงชูรสที่ใส่ลงไปตั้งแต่ต้มน้ำซุปนะคับ  เฮ้อ โชคดีที่ไม่ได้เป็นคนแพ้ผงชูรส  ไม่งั้น กินไปสงสัยน้ำลายฟูมปากแน่   ใครที่แพ้ผงชูรสพวกนี้คงต่องระวังๆในการทานอาหารในเวียดนามหน่อยละคับ


นอกจากเรื่องผงชูรสแล้ว คงต้องระวังความสะอาดด้วย  เพราะอย่างที่ผมบอกว่าสิ่งที่ทำให้เฝอชามนี้อร่อยมากขึ้น ก็คือเครื่องเคียงที่เป็นปาท่องโก๋  แต่ตอนที่เราอิ่มกันแล้วและกำลังจ่ายเงินให้กับเจ๊แม่ค้าก็ได้เห็นเบื้องหลังอีกหนึ่งเบื้องหลัง นั่นคือ ลูกชายเจ๊กำลังเอาปาท่องโก๋ล็อตใหม่มาใส่ไว้ในจาน แต่เผอิญทำตกระหว่างทาง  ลูกชายเจ๊ก็หยิบปาท่องโก๋พวกนั้นจากพื้นบนฟุตบาทขึ้นมาใส่จานอย่างเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็เอามาวางบนโต๊ะแบบชิวๆ  เนียนๆ

เห็นภาพนั้นแล้ว พวกเราก็หันมามองหน้ากัน แล้วก็นึกในใจว่าแล้วปาท่องโก๋ ที่พวกตูพึ่งสวาปามไปกันล่ะ มันเคยตกแบบนี้หรือเปล่า(ว่ะ)  หรือมันเคยผ่านอะไรที่ไม่สมควรจะผ่านมาบ้าง  นึึกแล้วก็แทบอยากจะขย่อนปาท่องโก๋ที่กินไปออกมาให้หมดเลยคับ

คืนนั้นแม้จะอิ่มอร่อยกับรสชาติเมนูมื้อดึก แต่ก็ต้องนอนแบบหลอนๆ กับภาพผงชูรส และปาท่องโก๋ที่ตกลงพื้นนั้นอยู่นานกว่าจะข่มตาหลับได้

."""".เอาน่าถือว่าได้กินของอร่อยแถมไม่ตาย ยังนอนหายใจอยู่ได้ นั่นก็บุญเท่าไหร่แล้ว 555!!!