วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เวียดนาม # 2 สิ่งควรรู้เมื่อต้องไปเวียดนาม



จากการหาข้อมูล อ่านรีวิว จนกระทั่งได้ไปสัมผัสประเทศนี้ด้วยตัวเองจริงๆแล้ว  มีข้อควรรู้ที่อยากบอกต่อเพื่อนเดินทางที่กำลังจะไปเวียดนามด้วยตัวเองว่า(เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคลนะคับ)

1. การถูกหลอก หรือ ถูกโกงในเวียดนามเป็นสิ่งที่แทบจะเรียกว่าเกิดขึ้นได้อย่างสม่ำเสมอและเป็นปกติ  จงเตรียมทำใจไว้

2. จากข้อเท็จจริงในข้อ 1 การหาข้อมูลให้ดีก่อนการเดินทางจึงมีส่วนช่วยให้คุณป้องกันตัวเองได้มากขึ้น  แต่ก็ยืนยันได้เลยว่ายากจะป้องกันได้ 100%

3. ดังนั้นถ้าคุณเจอเหตุการณ์ถูกโกงตามข้อ 1 และ 2    ถ้ามันไม่ได้ใหญ่โตหรือเสียหายจนรับไม่ได้   ก็อาจจะต้องทำใจยอมรับบ้าง เพราะมันจะทำให้คุณหมดสนุกเอาดื้อ     จำไว้ว่าเรามาเที่ยวเพื่อแสวงหาความสุข  พยายามเก็บแต่สิ่งดีๆมาดีกว่า

4. จงมั่นคงกับสิ่งที่คุณวางแผนมา ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง โรงแรม ข้อมูลของราคาที่เหมาะสม หรือแหล่งซื้อสินค้าที่เชื่อถือได้   ดังนั้นไม่ว่าเจอใครมาเป่าหู  ขู่เข็ญ หรือชวนเชื่ออย่างไร ถ้าคุณไม่แน่ใจก็อย่ายอมรับข้อเสนอนั้นเด็ดขาด   เมื่ออยู่ที่นั่น จงทิ้งคำว่า เกรงใจไว้ที่เมืองไทยชั่วคราว  และยืนกรานในความต้องการของคุณอย่างมุ่งมั่น (ผมต้องลงเดินไปโรงแรมเอง เพราะพวกเราปฏิเสธไม่ยอมพักในโรงแรมที่แท็กซี่พยายามจะคะยั้นคะยอให้เข้าพักให้ได้)

5. ถ้าเจอเหตุการณ์บีบบังคับให้ยอมรับข้อเสนอของพวกเขา เช่น โรงแรม หรือรถนำเที่ยว  ให้ยืนกรานว่าจองไว้แล้ว จ่ายเงินแล้ว อย่ายอมแพ้  ถึงแม้บางครั้งพวกเขาเหล่านั้นจะแกล้งทำเป็นฟังภาษาอังกฤษไม่เข้าใจ ก็ให้ยืนยันไปจนถึงที่สุดจนพวกนั้นยอมแพ้ไปเอง
 
6. เนื่องจากเวียดนามเป็นประเทศที่ต่อรองราคาได้เกือบทุกอย่าง จึงยากจะหาราคามาตรฐาน  เอาเป็นว่าถ้าคุณคิดว่ามันไม่แพงสำหรับคุณ   ผมว่าก็โอเคแล้วนะ รวมทั้งเมื่อซื้ออะไรแล้ว  ก็อย่าเที่ยวไปถามราคาจากของสิ่งเดียวกันที่ร้านอื่น เพราะถ้าเจอถูกกว่าจะอารมณ์เสียปล่าวๆ

7. ในระหว่างช็อปปิ้งบริเวณที่ผู้คนพลุกพล่าน โดยเฉพาะถนนคนเดิน ขอให้ระวังของมีค่าทุกอย่างไว้ให้ดี อย่าวางใจแม้ของสิ่งนั้นจะอยู่ในกระเป๋าที่ปิดมิดชิด ให้เอากระเป๋ากอดไว้ด้านหน้าตลอดเวลา (เพื่อนคนหนึ่งโดนกรีดเอากล้องที่อยู่ในกระเป๋าสะพายไปโดยไม่รู้ตัวเลย)

8. สำหรับคนที่แพ้ผงชูรสขอให้ระวังการทานเฝอ โดยเฉพาะตามริมถนนในฮานอย  เพราะเฝอประเทศนี้ใส่ผงชูรสจัดมากๆ  เรียกว่า ตักใส่กันเป็นช้อนๆ (ไม่ใช่ช้อนชาด้วย ช้อนกินข้าวนี่แหละ แถมไม่นับรวมที่ใส่ไปแล้วในน้ำซุปด้วย)  แต่ก็นั่นแหละ อาจจะเพราะเหตุนี้ก็เลยทำให้เฝอแบบต้นฉบับของประเทศนี้ อร่อยแบบลืมไม่ลงจริงๆ  
       ปล. เฝอในเวียดนามมีหลายรูปแบบ พยายามลองดูเยอะๆ  จะได้รสชาติที่แตกต่าง ไม่จำเจ

ที่ต้องเกริ่นอย่างนี้ก่อนไม่ได้ต้องการจะทำให้การเดินทางไปเวียดนามด้วยตัวเอง เป็นสิ่งที่น่ากลัว หรือลดทอนความน่าท่องเที่ยวของประเทศนี้ลง  แต่การที่เราได้รู้ข้อมูลล่วงหน้า และป้องกัน ระวังตัวพอสมควรจะทำให้เราท่องเที่ยวได้อย่างมีความสุขมากขึ้น  อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่เราพอจะคาดเดาได้แล้วว่าจะเกิดขึ้น  ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อจะย้ำว่า...อย่าอารมณ์เสีย 

เราเที่ยวเพื่อเรียนรู้โลก และผู้คน   ทุกๆจังหวะก้าวในการท่องเที่ยวจึงเป็นบทเรียนและความทรงจำที่ทั้งดีและเลวร้าย ซึ่งจะทำให้การเดินทางของคุณมีความหมายมากยิ่งขึ้น เมื่อคุณกลับไปมองมันอีกครั้ง....เมื่อวันเวลาผ่านไป

เวียดนาม # 1 รู้จักเวียดนาม


เวียดนาม (Vietnam) หรือ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (Socialist Republic of Vietnam)  ตั้งอยู่ในภูมิเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพรมแดนทิศเหนือติดกับประเทศจีน ทิศตะวันตกติดกับประเทศลาว และประเทศกัมพูชา ส่วนทิศใต้ติดกับอ่าวตังเกี๋ย และทิศตะวันออกติดกับทะเลจีนใต้
เวียดนามมีเมืองหลวงชื่อ ฮานอย” เป็นศูนย์กลางการปกครองของประเทศ  แต่ในขณะเดียวกันก็มีเมือง โฮจิมินท์ หรือ ไซ่ง่อน เดิมเป็นเมืองที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน  เนื่องจากในยุคสงครามเย็น  เวียดนามได้ถูกแบ่งเป็นเวียดนามเหนือและใต้  เมือง ไซ่ง่อน ได้เคยเป็นเมืองหลวงที่มีความเจริญรุ่งเรืองของเวียดนามใต้  จนเมื่อประเทศสหรัฐอเมริกาที่หนุนหลังฝ่ายใต้ได้พ่ายแพ้สงครามและถอนตัวออกจากเวียดนาม  เวียดนามเหนือจึงสามารถเข้ายึดเมืองไซ่ง่อนได้ และได้เปลี่ยนชื่อเมืองมาเป็น โฮจิมินซิตี้ ในที่สุดเพื่อเป็นการยกย่องโฮจิมินต์ รัฐบุรุษ ตลอดกาลของเวียดนาม

ภูมิศาสตร์  ประเทศเวียดนามมีลักษณะคล้ายตัว “s” ขนาดใหญ่ ทอดตัวยาวไปตามคาบสมุทรอินโดจีนถึง 3,730 กิโลเมตร   พื้นที่ประมาณ 3 ใน 4 ของเวียดนาม ประกอบด้วยภูเขาและป่าไม้ รวมทั้งทะเลสาปที่อุดมสมบูรณ์อีกมากมาย

ภูมิอากาศ เวียดนามมีภูมิอากาศเป็นลักษณะมรสุมเขตร้อน ที่มีอุณหภูมิและภูมิอากาศแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ แต่สามารถแบ่งเป็น 4 ฤดูได้แก่
- ฤดูใบไม้ผลิ ( มีนาคม-เมษายนมีฝนตกปรอยๆ และความชื้นสูง อุณหภูมิประมาณ 17 C - 23 C
-
ฤดูร้อน ( พฤษภาคม-สิงหาคม) อากาศร้อนและมีฝน อุณหภูมิประมาณ 30 C- 39 C เดือนที่ร้อนที่สุดคือ มิถุนายน
-
ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน ) อุณหภูมิ 23 C-28 C
-
ฤดูหนาว ( ธันวาคม - กุมภาพันธ์ ) อากาศจะหนาวเย็นที่สุดในรอบปี คือ ประมาณ 7 C - 20 C แต่ในบางครั้งอุณหภูมิอาจลดลงถึง 0 C เดือนที่หนาวเย็นที่สุดคือ มกราคม
ฤดูที่น่าเดินทางไปท่องเที่ยวเวียดนาม คือ ฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาอากาศค่อนข้างเย็นสบายซึ่งอยู่ในระหว่างเดือน ธันวาคม - กุมภาพันธ์


ประชากร   
เวียดนามมีประชากรทั้งสิ้นประมาณ 88 ล้านคน โดย  90% เป็นชาวเวียดนาม ที่เหลือจะเป็นชาวเขา ชนกลุ่มน้อย และชาวกัมพูชา

ระบอบการปกครอง
เวียดนามปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ โดยแบ่งเขตปกครองออกเป็น 53 เขต และ 50 มณฑล 

ภาษา
ชาวเวียดนามใช้ภาษาเวียดนามเป็นภาษาหลัก  โดยอาจจะมีคนเวียดนามรุ่นเก่าๆ ที่สามารถใช้ภาษาฝรั่งเศสได้ (เนื่องจากเวียดนามเคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส) แต่ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ของเวียดนามสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้เป็นจำนวนมาก

ศาสนา
ชาวเวียดนามส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ 55%   คริสต์ 7%  และศาสนาอื่น ๆ อีก 38% 


สกุลเงิน
สกุลเงินของเวียดนามคือ ด่อง โดยมีอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 400-500 ด่องต่อ 1 บาท

แม้เงินด่องจะเป็นเงินสกุลหลักของเวียดนาม แต่โรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิงและแหล่งช็อปปิ้งหลายแห่งยังสามารถใช้เงินดอลล่าห์สหรัฐได้

ไฟฟ้า
 ประเทศเวียดนามใช้ไฟระบบ 220 โวลต์  และใช้ปลั๊กไฟสำหรับเสียบอุปกรณ์ไฟฟ้าเป็นแบบสองขากลม

เวลาประเทศเวียดนาม
เวลาของประเทศเวียดนามเท่ากับเวลาในประเทศไทย ลาว และกัมพูชา  

การเดินทางประเทศเวียดนาม
การเดินทางไปเวียดนาม สามารถเดินทางได้โดย
1.     ทางรถยนต์ โดยข้ามสะพานมิตรภาพ ไทย ลาว ที่จังหวัดหนองคายแล้วเดินทางโดยรถตู้หรือรถบัสผ่านลาวเข้าสู่เวียดนาม   
1.1            เวียดนามภาคกลาง (เว้ และดานัง) ก็ใช้เส้นทางหมายเลข 9 แขวงสุวรรณเขตของลาวทางด้านจังหวัดมุกดาหาร
1.2            เวียดนามภาคเหนือ (ไฮฟอง และฮานอย) ใช้เส้นทางหมายเลข 13 ใต้ เชื่อมต่อหมายเลข 8 ทางแขวงบริคำไชย (เมืองปากซัน) ซึ่งอยู่ตรงข้ามอำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย

2.     ทางอากาศ  ปัจจุบันมีสายการบินหลายสายการบินที่ทำการบินตรงจากสนามบินสุวรรณภูมิไปยังประเทศเวียดนาม 

การขอวีซ่าประเทศเวียดนาม
นักท่องเที่ยวไทยที่ต้องการท่องเที่ยวในเวียดนามไม่เกิน 30 วัน สามารถเดินทางไปเวียดนามได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า

วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

อินเดีย...สามเหลี่ยมอารยธรรม เดลี อัครา ชัยปุระ 8 # ทัชมาฮาล และ วัดอาชาธรรม

จากป้อมอัคราฟอร์ท  ก็ได้เวลาที่เราจะเดินทางไปชมอนุสรณ์สถานที่ยิ่งใหญ่และถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลกกันนั่นคือ...ทัชมาฮาล

ทางเข้าด่านแรกของทัชมาฮาล
ทัชมาฮาล ( Taj  Mahal ) ถือเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก เพราะที่นี่สร้างด้วยหินอ่อนบริสุทธิ์ โดยใช้เวลาสร้างถึง 23 ปี (1630-1648)   ใช้คนงานในการออกแบบ เขียนลวดลาย ช่างอิฐ ช่างปูน ช่างกระเบื้อง ช่างแกะสลัก ช่างตกแต่งภายใน รวมกว่า 20,000 คน

ใช้วัสดุในการก่อสร้าง คือ หินอ่อนสีขาว หินอ่อนสีแดง  หินอ่อนสีเหลือง เพชรตาแมว ปะการัง และ หอยมุก หินเจียรไนสีฟ้า  ตลอดจนเพชรนิลจินดาอีกจำนวนมาก โดยประมาณการกันว่าใช้เงินค่าก่อสร้างในยุคนั้นไปราว  50 ล้านเหรียญ หรือ ประมาณ 1,500 ล้านบาท !!!!


 
ทัชมาฮาลถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสุสานฝังศพของ พระนางมุมทัชมาฮาล ราชินีผู้ป็นที่รักยิ่งของ พระเจ้าชาห์ เจฮัน  พระนางสิ้นพระชนม์เพราะคลอดโอรสองค์ที่ 15 (ก็น่าอยู่หรอกนะ  เยอะเกิ้นนน) ซึ่งทำให้พระเจ้าชาห์ เจฮัน เสียพระทัยมาก พระองค์จึงสร้างที่ฝังศพที่ใหญ่โตและล้ำค่าที่สุดในโลกขึ้นที่ริมแม่น้ำยมนา

มีเรื่องเล่าว่าเหตุที่ทัชมาฮาลถูกออกแบบให้สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวและมีรูปทรงคล้ายๆ ภูเขาก็เพราะครั้งหนึ่งขณะที่พระเจ้าชาร์ เจฮัน และ พระนางมุมทัชมาฮาลได้เสด็จพระพาสไปนอกสถานที่  พระนางมุม มาฮาลมีความประทับใจในภูเขาหิมะสีขาวโพลนที่ทรงทอดพระเนตรเห็น  จึงตรัสกับพระเจ้าชาร์ เจฮันว่าถ้าสิ้นพระชนม์ไปก็อยากมีสุสานที่สวยงามบริสุทธิ์เหมือนภูเขาหิมะลูกนั้น   ดังนั้นเมื่อสิ้นพระชนม์  พระเจ้าชาร์ เจฮัน ก็เลยจัดหนัก จัดเต็มให้ตามคำขอ

ประตูสู่ทัชมาฮาล
ทัชมาฮาลค่อยๆ เผยโฉม
แวบแรกที่เห็นต้องเลยว่าขนลุกจริงๆ ยิ่งใหญ่ สวยงามมาก
ทัชมาฮาลได้รับการยอมรับจากสถาปนิกทั่วโลกว่าสร้างขึ้นอย่างถูกสัดส่วน และ วิจิตรงดงามที่สุด กว้างยาวด้านละ 39 เมตร  ตรงกลางมีโดมสูง 60 เมตร  มีโดมเล็กๆ เป็นหอสูงอยู่ทั้ง 4 มุม   ภายในประดับด้วย หินอ่อนสลักฉลุเป็นลวดลายวิจิตรตระการตา แต่งเติมด้วยนิล พลอยสี ทับทิม   ตรงกลางภายใต้หลังคาโดมใหญ่มีแท่นวางพระศพที่ทำด้วยหินอ่อน และมีฉากหินอ่อนฉลุลายงดงามกั้นอีกชั้นหนึ่ง แต่ศพจริงๆ ไม่ได้บรรจุอยู่ในหีบแต่ฝังอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินตรงกับที่วางหีบศพนั้น

ไม่มีอะไรจะบรรยายได้
ไม่แปลกที่ผู้คนจากทั่วโลกต่างดั้นด้นมาที่นี่
อย่างที่เคยเล่าในตอนที่แล้วว่าพระเจ้าชาร์ เจฮัน ตั้งใจจะสร้างทัชมาฮาลอีกหลังแต่เป็นหินอ่อนสีดำล้วนให้ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันของแม่น้ำ   แต่โดนลูกยึดอำนาจก่อน (เพราะพ่อชักจะเลยเถิดไปใหญ่แล้ว) ไม่งั้นเราคงได้เห็นความงามอันยิ่งใหญ่ของทัชมาฮาลทั้งขาว และ ดำ ที่สร้างไว้คู่กัน

ทางเข้าไปที่เก็บพระศพ
ทัชมาฮาลไม่อนุญาตให้ใส่รองเท้าขึ้นไป ต้องถอดวางไว้ หรือซื้อถุงพลาสติกมาสวมไว้แบบนี้
แต่ก็ถือเป็นโชคดีของคนอินเดีย ที่ทัชมาฮาลยังคงตั้งอยู่อย่างโดดเด่นสวยงามอยู่ที่นี่ เพราะมีเรื่องเล่า(อีกแล้ว) ว่าตอนที่อังกฤษต้องคืนเอกราชให้อินเดียได้พยายามจะยกทัชมาฮาลทั้งหลังกลับไปอังกฤษ (เหมือนกับที่สิ่งมีค่าหลายอย่างของอินเดียถูกนำออกไป)  แต่เพราะการก่อสร้างด้วยเทคนิคพิเศษทำให้วิศวกรชาวอังกฤษไม่สามารถรื้อหินอ่อนแม้แต่ก้อนเดียวออกมาจากตัวทัชมาฮาลได้  จึงต้องยอมแพ้ไป

เฮ้อ !!! ได้ยินไกด์เล่าแล้วก็นะ  อีตาคนคิดก็คิดได้ ทัชมาฮาลทั้งหลังยังจะยกของเขาไปอีก  โกยไปทุกอย่าง  ช่างน่ารังเกียจจริงๆ (ไม่ได้มีความเป็นสุภาพบุรุษ อังกฤษอย่างที่พยายามสร้างภาพเลย )


หลังจากชมความงามของทัชมาฮาลกันจนเต็มตา เต็มอิ่มแล้ว (ก็มืดค่ำพอดี) เราก็ไปแวะชมโรงงานผลิตงานหินอ่อนกันต่อเพื่อให้บรรดาเหล่ามหาราชา มหารานีชาวไทยได้ช้อปปิ้งระบายเงินในกระเป๋า เพราะอัครามีชื่อเสียงทางด้านการผลิตหินอ่อนมาช้านาน ราคาไม่แพงด้วย (เมื่อเทียบกับที่อื่น แต่ก็ยังแพงอยูดีสำหรับคน "มีฐานะ" อย่างเรา 555)      หลังจากช็อปกันจนจุใจแล้วก็เดินทางกลับโรงแรม Mughal Sheraton Palace ที่พักของเราในคืนนี้
โรงงานหินอ่อน

โรงแรม Moghul Sheraton

เช้าวันรุ่งขึ้นก็ได้เวลาเดินทางกลับนิวเดลี  ซึ่งไฮไลท์สำคัญที่รอเราอยู่ที่นั่นก่อนที่จะบินกลับเมืองไทยคือ วัดอาชาธรรม 


วัดอาชาธรรม (Akshardham Temple) เป็นวัดฮินดูที่ใช้เงินทุนก่อสร้างมากถึง 600 ล้านรูปี  ภายในจะเป็นคล้ายๆพิพิธภัณฑ์ทางอารยธรรมมากกว่าเป็นศาสนสถาน เนื่องจากภายในจะมีการจัดแสดงความเป็นมาของอารยธรรมอินเดียกว่า 10000 ปี ทั้งในแง่มุมของวัฒนธรรม สังคม และในฐานะประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดศาสนาถึง 3 ศาสนา   โดยการจัดแสดงนั้นก็มีความหลากหลาย ทั้งในแง่รูปปั้น ภาพวาด การนั่งเรือล่องไปตามสายน้ำจำลองชมหุ่นขี้ผึ้ง  หรือแม้กระทั่งน้ำพุดนตรี (เข้าไปแล้วนึกว่าสวนสนุก แต่ก็เป็นสวนสนุกที่อลังการมาก)

อาคารหลักของวัดอาชาธรรม




ด้านในสลักด้วยหินอ่อน วิจิตรมาก

แต่เนื่องจากอินเดียยังมีความขัดแย้งทางศาสนาอยู่มาก ที่นี่จึงมีความเข้มงวดในการเข้าชมค่อนข้างมาก คือห้ามนำโลหะทุกชนิด กระเป๋าทุกชนิด และกล้องทุกชนิดเข้าไปโดยเด็ดขาด เรียกว่าก่อนเข้าต้องถอดนาฬิกา แหวน เข็มขัด สร้อยคอ กระเป๋าตังค์ ออกจนหมด แทบจะต้องเดินตัวเปล่าเข้าไปเลย

แม้มาตรการนี้จะทำให้หลายคนหงุดหงิดจนถอดใจไม่อยากเข้าไป แต่ในฐานะคนที่เคยเข้าไปชมแล้วขอบอกคำเดียวว่า ยอมทำตามที่เขาบอกเถอะคับ เพราะสิ่งที่จะได้เห็นข้างในนั้นคุ้มค่าทีเดียว

และเนื่องจากภายในห้ามถ่ายรูปโดยเด็ดขาด ดังนั้นผมจึงของยืมรูปจาก  http://www.akshardham.com/ ซึ่งเป็นเวบไซด์ทางการของวัดแห่งนี้มาให้ชมกันว่าด้านในอลังการแค่ไหน           

ล่องเรือชมที่มาของอารยธรรมอินเดีย
เรียนรู้วิถีชีวิตผู้คน
น้ำพุดนตรีธรรมะ มีพระตรีมูรติ(วัยเด็ก) อยู่ตรงกลาง

สวนบุคคลสำคัญของอินเดีย
 
วัดอาชาธรรมคงเป็นสถานที่สุดท้ายก่อนที่พวกเราจะกลับเมืองไทย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอินเดียนั้นเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่  มีอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ มีสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ชาติใดในโลก  แต่ขณะเดียวกันท่ามกลางความยิ่งใหญ่และหรูหราเหล่านั้น  เราก็ได้เห็นอีกภาพที่มีความขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง นั่นคือความยากจนข้นแค้นของคนอีกจำนวนมาก ซึ่งน่าเสียดายที่ความยากจนเหล่านั้นมาจากหลักการทางศาสนาที่ทำให้คนที่เกิดมาในวรรณะหนึ่งไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้ และต้องใช้ชีวิตด้วยความยากลำบากนี้ไปชั่วชีวิต



แต่นี่ล่ะคือส่วนหนึ่งของการเดินทาง  เราไม่ได้ไปเพื่อจะชื่นชมแต่สิ่งก่อสร้างที่สวยงาม แปลกตา แต่เราไปเพื่อเรียนรู้ชีวิตของผู้คนซึ่งมีความแตกต่างทั้งภาษา ความเชื่อ และวัฒนธรรม  ที่สำคัญอาจไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะตัดสินว่าอะไรถูก อะไรผิด  สิ่งที่เราทำได้ก็คงแค่เรียนรู้และทำความเข้าใจ    และถามตัวเองว่า...เราได้เรียนรู้อะไรบ้างจากสิ่งที่พบเห็นเหล่านั้น

อินเดีย...สามเหลี่ยมอารยธรรม เดลี อัครา ชัยปุระ 7 # ป้อมอัคราฟอร์ท (Agra Fort)


จากชัยปุระ เช้าวันรุ่งขึ้นเราก็เดินทางไปต่อที่เมือง อัครา  ซึ่งถือเป็นเมืองสำคัญที่สุดเมืองหนึ่งในอินเดีย เนื่องจากเมืองนี้เป็นที่ตั้งของ...ทัชมาฮาล...อนุสรณ์สถานแห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกนั่นเอง

ระหว่างทางเราได้ผ่านหมู่บ้านหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ริมถนน เป็นหมู่บ้านที่ดูยากจนมากๆ   เพราะบ้านแต่ละหลังมีลักษณะเป็นเพิ่งพักชั่วคราวมากกว่า  แต่จุดที่ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้มีความน่าสนใจที่จะต้องพูดถึงก็เพราะหมู่บ้านนี้เป็น..."หมู่บ้านโสเภณี" 

เพราะฉะนั้นระหว่างที่เราขับรถผ่านจะสังเกตุได้ว่าหน้าบ้านแต่ละหลังจะมีผู้หญิงอินเดียนั่งประจำการอยู่และคอยจับจ้องรถที่ขับผ่านไปมา เพราะกลุ่มเป้าหมายของหญิงขายบริการเหล่านี้จะเป็นกลุ่มผู้ใช้แรงงานหรือบรรดาสิงห์รถบรรทุก




นั่งรถต่อไปอีกสักพักเราก็มาแวะกันที่จุดท่องเที่ยวจุดแรกของวันนี้ นั่นคือ อุทยานแห่งชาติปารัตเปอร์


อุทยานแห่งชาติ ปารัตเปอร์ (ฺBharatpur National Park) มีพื้นที่ 29 ตารางกิโลเมตร  เป็นอุทยานที่มีชื่อเป็นทางการอีกชื่อว่า Keoladeo Ghana National Park เป็นอุทยานที่ถูกสร้างขึ้นโดยมหาราชาของรัฐ ปารัตเปอร์ ในศตวรรษที่ 19 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำเป็นเขื่อนป้องกันน้ำท่วมแต่ภายหลังตัวเขื่อนนี้ ได้พังทลายลงจนเกิดเป็นทะเลสาปปารัตเปอร์  ทำให้ในยุคต่อๆ มา อุทยานปารัตเปอร์ได้เปลี่ยนเป็นพื้นที่ล่าสัตว์ส่วนพระองค์ของมหาราชา ก่อนที่จะถูกประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ ในปี 1982 และถูกประกาศเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติในปี 1985


อุทยานแห่งนี้จะมีชื่อเสียงในเรื่องนกที่มีมากกว่า 350 สายพันธุ์  อุทยานแห่งนี้จึงถูกจัดเป็นสถานที่ดูนกที่ดีที่สุดแห่งหนุ่งของโลก  

วิธีการเข้าไปชมในอุทยานจะมีหลายวิธี แต่ที่เป็นที่นิยมคือการนั่งสามล้อแล้วก็นั่งชมนก ชมไม้ในอุทยานไปเรื่อยๆ






 หลังจากนั่งรถเข้าไปในอุทยานพอสมควรก็ต้องยอมรับคับว่าพวกเรามากันผิดเวลา (คนจัดคิดได้ไง ให้มาดูนกตอนใกล้ๆเที่ยง) เพราะว่านั่งกันไปเกือบชั่วโมงแล้วก็แทบไม่เห็นนกเลย เห็นแต่ต้นไม้  ที่สำคัญสำหรับพวกเราคนไทยอดรู้สึกไม่ได้ว่าสถานที่ดูนกในเมืองไทยยังมีที่สวยและน่าท่องเที่ยวกว่านี้มากมายหลายเท่า   พวกเราจึงตัดสินใจไม่เข้าไปกันต่อ


ดังนั้นเราจึงมุ่งตรงไปกันที่จุดหมายต่อไปซึ่งก็คือสถานที่รับประทานอาหารเที่ยงของเราในวันนี้นั่นคือ...พระราชวังลักษมีวิลล่า  (กินในวังกันตลอด จนเริ่มจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นทายาทมหาราชาเข้าบ้างแล้ว 555)





พระราชวังลักษมี (Laxmi Villas Palace) สร้างในปี 1887 โดยราชา Ragunath Singh ซึ่งเป็นน้องชายของมหาราชา Ram Singh ผู้ปกครองแคว้นปารัตเปอร์  โดยพระราชวังแห่งนี้ได้ถูกเปลี่ยนเป็นโรงแรม (เหมือนพระราชวังส่วนใหญ่ในอินเดีย) ในปี 1994






 สำหรักแขกคนสำคัญๆ ที่เคยมาพักที่พระราชวังแห่งนี้ได้แก่ ดยุคแห่งเอดินเบอร์ก ( Duke of Edinburgh) ,พระเจ้าชาร์แห่งอิหร่าน , กษัตริย์ของเนปาล เป็นต้น 

และเช่นเคยคับใครที่เบื่อๆ อยากลองเปลี่ยนรสชาติไปใช้ชีวิตแบบมหาราชา หรือ รานีก็เข้าไปดูข้อมูลของโรงแรมได้ที่

http://www.laxmivilas.com/index.php


 รับประทานอาหารเที่ยงพร้อมชมความงามของพระราชวังลักษมีกันอิ่มแล้วก็ได้เวลาเดินทางไปเมืองอัครากันต่อโดยใช้เวลาอีกประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ เราก็เดินทางถึงเมืองอัครา และจุดหมายแรกที่เราไปแวะชมกันก็คือ ป้อมอัคราฟอร์ท คับ




 ป้อมอัคราฟอร์ท (Agra Fort)  ได้ถูกสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิ์อักบาร์ ของอาณาจักรโมกุลซึ่งถือเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่มากในยุคนั้น โดยได้เริ่มทำการก่อสร้างตั้งแต่ปี 1565 และมาแล้วเสร็จในปี 1574 







อัคราฟอร์ทตั้งอยู่ริมแม่น้ำยมุนา มีความยาวถึง 2.5 กิโลเมตร ประกอบด้วยกำแพงที่สร้างด้วยหินทรายสีแดง ประตูทางเข้าที่ตกแต่งประดับประดาด้วยกระเบื้องหลากสีสัน พร้อมด้วยอาคารหินอ่อนที่อยู่ด้านในมากถึง 500 หลัง






ป้อมอัคราเป็นรูปแบบเฉพาะของศิลปะโมกุล และเป็นสัญลักษณ์ถึงความยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิ์อักบาร์ รวมทั้งได้สะท้อนถึงพยายามของพระองค์ที่จะรวมธรรมเนียมประเพณีของศาสนาอิสลาม และฮินดูเข้าไว้ด้วยกัน โดยเห็นได้ชัดทั้งในสถาปัตยกรรมและการตกแต่งต่างๆ





ป้อมแห่งนี้แม้จะเริ่มสร้างสมัยจักรพรรดิ์อักบาร์ แต่ก็สำเร็จเสร็จสิ้นในสมัยมหาราชาชาร์ จาฮัน (Shah Jahan) ซึ่งเป็นหลานของพระองค์ และเป็นมหาราชาพระองค์นี้เองเป็นผู้สร้างทัชมาฮาลอันยิ่งใหญ่
 
ในภายหลังจักรพรรดิ์  ชาร์ จาฮัน ผู้สร้างทัชมาฮาล ได้ถูกพระโอรสของพระองค์เองคือ จักรพรรดิ์ออรังเซบ (Aurangzeb) ทำการปฏิวัติยึดอำนาจ โดยมีเรื่องเล่าว่าสาเหตุของการยึดอำนาจนอกจากเรื่องของการเมืองแล้วยังมาจากการหมดความอดทนของข้าราชบริพารเพราะทัชมาฮาลใช้งบประมาณและกำลังคนจำนวนมากในการก่อสร้างจนบ้านเมืองแทบไม่มีอะไรเหลือ แต่พระเจ้าชาร์ จาฮัน กลับมีพระราชดำริจะก่อสร้างทัชมาฮาลอีกหลัง แต่ทำด้วยหินอ่อนสีดำทั้งหมด เพื่อจะได้เป็นอนุสรณ์คู่กับทัชมาฮาลสีขาว  แค่ได้ยินพระราชดำรินี้เหล่าข้าราชบริพารก็ร้อนๆ หนาวๆ และคงเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เกิดการยึดอำนาจขึ้น

ดังนั้นในบั้นปลายชีวิตพระเจ้า ชาร์ เจฮัน จึงถูกนำตัวมาควบคุมไว้ที่อัคราฟอร์ท ซึ่งเป็นสถานที่ๆพระองค์สามารถใช้เฝ้าชมความงามของผลงานชิ้นเอกของพระองค์ได้ จนสิ้นพระชนท์ในปี 1657 



ที่กุมขังพระเจ้าชาร์ เจฮัน

อาจจะเป็นคุกที่สวยที่สุดในโลก


จากที่กุมขัง สามารถมองเห็นทัชมาฮาลตลอดเวลา



บริเวณนี้เป็นที่ซึ่งจักรพรรดิ์ชาร์ เจฮัน สิ้นพระชมม์



นอกจากนั้นภายในอัคราฟอร์ทยังมีท้องพระโรงซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของ บัลลังก์มยุรา ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก เนื่องจากถือเป็นบัลลังก์ที่มีความล้ำค่ามากเพราะนอกจากเคยเป็นราชบัลลังก์คู่บารมีของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์โมกุลแล้ว ยังเป็นราชบัลลังก์ทองคำที่ประดับด้วยเพชรนิลจิดามีค่าจำนวนมาก  แต่น่าเสียดายที่หลังจากจักรพรรดิ์ Nader Shah ได้ถูกลอบปลงพระชนม์ ราชบัลลังก์ที่แสนล้ำค่านี้ก็หายไปเป็นเวลาหลายปี  ก่อนจะมาปรากฎตัวอีกครั้งในฐานะราชบัลลังก์คู่บารมีของอาณาจักรเปอร์เซียโดยปัจจุบันราชบัลลังก์ดังกล่าวนี้ยังอยู่ที่ประเทศอิหร่าน (แม้จะเรียกบัลลังก์มยุราเหมือนกันแต่รูปทรงต่างกันเล็กน้อย จึงเชื่อว่าเป็นการทำใหม่ หรือไม่ก็ใช้ฐานเดิมมาดัดแปลง)


อดีตเคยเป็นที่ตั้งของบัลลังก์มยุรา
ภาพวาดบัลลังก์มยุราต้นฉบับที่สูญหายไป ทำด้วยทองคำประดับประดาด้วยไข่มุกและเพชรนิลจินดามหาศาล
ท้องพระโรงที่ตั้งเดิมของบัลลังก์มยุรา