จากโรงแรมที่พักสามารถหาของกินได้สะดวกมากคับ เพราะอย่างที่บอกว่าโรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่ในย่าน Old Quarter ซึ่งเป็นศูนย์กลางแหลงท่องเที่ยวและช้อปปิ้งของฮานอย
Old Quarter เป็นย่านเก่าแก่ของฮานอยที่มีประวัติศาสตร์มากว่า 2000 ปี เป็นแหล่งที่พ่อค้าชาวจีนและช่างมีฝีมือได้เข้ามาตั้งหลักแหล่งจนเกิดเป็นชุมชนการค้าที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งของเวียดนาม โดยเฉพาะ ถนนสายอาชีพ 36 สาย โดยแต่ละสายจะขายสินค้าไม่เหมือนกัน ซึ่งปัจจุบันถนนสายอาชีพเหล่านี้ก็ยังมีอยู่
และที่ใกล้ๆ โรงแรมนี้เองคับ มีร้านขายคาบับ ชื่อดังที่เหล่านักแบกเป้มักมาฝากท้องเป็นมื้อเช้ากัน
ก่อนสั่งสามารถระบุชนิดของขนมปังได้ด้วยคับว่าต้องการแบบนุ่ม หรือแบบกรอบ ราคาก็ถูกทีเดียว 15000 ดองหรือราว ๆ 30 บาท รสชาติถือว่าอร่อยเลยล่ะ
ได้คาบับเป็นมื้อเช้าแล้วเราก็เดินไปทานไปคับ จะได้ไม่เสียเวลา ระหว่างนั้นก็เดินดูวิถีชีวิตชาวฮานอยได้ด้วย จะเห็นเลยคับว่ามื้อเช้าของชาวเวียดนามนั้นมีหลากหลายมาก แต่ไม่ว่าจะเป็นอาหารแบบไหนก็ต้องนั่งยองๆ กับเก้าอี้เตี้ยๆ กันหมด ใครข้อเข่าไม่ดีก็ต้องทำใจนะคับ
จุดหมายแรกของเราในวันนี้คือการไปจองตั๋วละครหุ่นน้ำซึ่งเป็นศิลปะเอกลักษณ์ของเวียดนามก่อน ซึ่งคงต้องขอแนะนำเลยว่าใครต้องการจะไปชมละครหุ่นน้ำนี้ควรจะจองตั๋วไว้ก่อนให้เรียบร้อยเพราะโชว์ชุดนี้จะมีนักท่องเที่ยวทั้งที่เดินทางมาเอง และ มาเป็นกรุ๊ปทัวร์มาดูกันเป็นจำนวนมาก หากไม่จองไว้ก่อนอาจจะไม่มีที่นั่งได้
ส่วนสถานที่จองตั๋วก็คือโรงละครหุ่นเลย ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามทะเลสาปคืนดาบนั่นเอง และจากโรงแรมของเราก็เดินไปไม่ไกลด้วย ส่วนราคาตั๋วก็ไม่แพงคับ ประมาณ 60000 ดองหรือ 120 บาทต่อคนเท่านั้นเอง
จริงๆแล้วเราต้องการจะดูรอบ 2 ทุ่มแต่ตั๋วเต็มแล้ว (ขนาดมาจองแต่เช้า) ก็เลยได้รอบบ่าย 2 แทน
ได้ตั๋วกันแล้ว ก็เดินต่อไปโดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่พิฑิธภัณฑ์สถานแห่งชาติที่ฮานอย ระหว่างนั้นก็ได้เดินผ่านสถานที่สำคัญหลายอย่าง อาทิ
อนุสาวรีย์หลีไทโต เป็นอนุสาวรีย์ที่แสดงความรำลึกถึงกษัตริย์ หลีไทโต ซึ่งเป็นผู้รวบรวมเวียดนามให้เป็นปึกแผ่น
อนุสาวรีย์แห่งการปฏิวัติ
Trang tien plaza ห้างที่ใหญ่สุดในเวียดนาม
จากห้าง Trang Tien พอเลี้ยวซ้ายมาสักพักเราจะเจอทางเข้าไปร้านไอศครีมเจ้าอร่อยและมีชื่อเสียงของฮานอยอยู่ฝั่งตรงกันข้ามของถนน งานนี้ก็เลยต้องเข้าไปขอชิมหน่อยคับว่า ไอศครีมที่คนเวียดนามต้องมายืนต่อคิวกินกันนั้นจะอร่อยสักแค่ไหน
แต่ปรากฎว่าตอนที่เราไปไม่ค่อยมีคนเลยคับ สงสัยเป็นช่วงวันธรรมดา ยังเรียนกับทำงานกันอยู่ แต่ไอศครีมในตู้ก็พร่องไปเยอะแล้วนะคับ เราสั่งแบบโคนมาลองทานกัน ซึ่งราคานั้นต้องบอกว่าถูกมากๆ เลย เป็นราคาที่คงหาซื้อไม่ได้แล้วในเมืองไทย เพราะโคนหนึ่งราคาแค่ 4000 ดอง หรือ 8 บาทเองคับ
ซึ่งพอได้ลองชิมแล้วก็บอกได้เลยคับว่า...อร่อยสมราคา คืออร่อยนิดๆ สมกับราคาถูกๆ 5555 ยังคิดเลยคับว่าถ้ารสชาติแบบนี้ยังทำให้คนต้องมาต่อคิวซื้อกินกัน ถ้าเป็นบ้านเรา เอาเป็นว่าไม่ต้องขนาด Swensen หรอกคับ แค่ไอติมหาชัย หรือไผ่ทอง ก็กินขาดแล้ว
ทานไอติมกันเสร็จก็ได้พลังงานเพื่อเดินทางกันต่อ เดินต่อไปอีกไม่ไกลเราก็จะมาถึงบริเวณ 5 แยกซึ่งมี landmark สำคัญอีกที่ของฮานอย นั้นคือ Hanoi Opera House คับ
Hanoi Opera House เป็นโรงละคร ที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2454 รูปแบบเป็นสไตล์ฝรั่งเศส ตกแต่งอย่างงดงาม ภายในมีที่นั่งกว่า 900 ที่นั่ง โดยปัจจุบันยังใช้ทำการแสดงอย่างสม่ำเสมอ
จาก Hanoi Opera House เิดินมาอีกไม่ไกล ในที่สุดเราก็มาถึง พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เวียดนามคับ
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เวียดนาม เคยเป็นอดีตเป็นสถาบันวิจัยทางโบราณคดีของสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบุรทิศ (Ecole Hrancaise d’Extreme Orient) สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2453 และได้บูรณะใหม่อีกครั้งในปี 2469 และเปิดเป็นทางการในปี พ.ศ. 2475
สิ่งที่นำมาจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะครอบคลุมถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของเวียดนามทุกยุค ทุกสมัย เป็นโบราณวัตถุที่หาดูได้ยากยิ่ง อาทิ กลองสำริดโบราณ ซึ่งเป็นศิลปะอันงดงามของพวกจาม(ชนเผ่าดั้งเดิมของเวียดนาม คู่รักคู่แค้นของเขมรสมัยโบราณ) นอกจากนี้ยังมีเครื่องถ้วยชาม และเจ้าแม่กวนอิมปางที่ดูแปลกประหลาด รวมถึงห้องจัดแสดงของใช้สิ่งของต่างๆ ของกษัตริย์ทั้ง 13 พระองค์แห่งราชวงศ์เหวียนด้วย
ค่าเข้าชม 15000 ดองคับ
จากพิพิธภัณฑ์ประวัิติศาสตร์ข้ามไปฝั่งตรงข้ามก็จะเจอ พิพิธภัณฑ์การปฏิวัติ
พิพิธภัณฑ์การปฏิวัติ (Museum of Vietnamese Revolution) เป็นสถานที่ซึ่งแสดงให้เห็นการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอิสรภาพของคนในประเทศนี้ เป็นการบอกเล่าเรื่องราวว่าคนเวียดนามต้องพบเจอกับอะไรมาบ้าง ตั้งแต่ครั้งโบราณมาจนถึงยุค พ.ศ. 2518 อันเป็นปีที่ทหารอเมริกาถอนกำลังออกจากเวียดนาม
เสร็จจาก พิพิธภัณฑ์การปฏิวัติ ก็ได้เวลาเดินกลับไปที่ทะเลสาบคืนดาบเพื่อไปชมละครหุ่นน้ำรอบบ่าย 2 ซึ่งระหว่างทางตั้งใจไปหาร้านเฝอ 24 (Pho24) ซึ่งเป็นแฟรนไชร์ร้านเฝอชื่อดังที่มีสาขาอยู่หลายที่ แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ จนเห็นร้านข้าวแกงธรรมดาร้านนึง คนแน่นมาก แถมมีรถเก๋งหรูๆมาจอดแวะซื้อกันเยอะ ดูจากรูปการณ์แล้วคงอร่อยไม่ใช่น้อย ที่สำคัญตอนนี้คือหิวมากจนจะเป็นลมก็เลยเปลี่ยนแผนเข้าไปลองทานอาหารข้าวแกงพื้นบ้านของเวียดนามกันแทนคับ
หลังจากได้ลองทานแล้ว ต้องบอกเลยคับว่าอร่อยมากๆๆๆๆ ส่วนหนึ่งจะอาจจะเพราะกำลังหิวด้วย
งานนี้อร่อยจนข้าวโถใหญ่เกลี้ยง ทั้งๆที่ตอนแรกพวกเราก็ตกใจกันมากพอเห็นโถข้าวว่าทำไมมันใหญ่ขนาดนี้ อร่อยจนต้องสั่งไข่เจียว กับหมูสามชั้นผัดมะพร้าวอ่อน มาเติมอีกจาน
แต่ระหว่างที่กำลังทานด้วยความเอร็ดอร่อยอยู่นั้น เรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อเพื่อนคนหนึ่งเห็นสิ่งผิดปกติในไข่เจียว พอทุกคนช่วยกันดูก็หน้าซีดเลยคับ เพราะสิ่งที่เห็นมันเป็นหนอน ...เป็นหนอน แน่ๆ.....
อะไรกันนี่ หนอนตัวนี้มาอยู่ในไข่เจียวได้ไง ว่าแล้วผมก็รีบคว้าจานไข่เจียวมาเขี่ยดู แล้วก็ต้องช็อคกับสิ่งที่อยู่ในไข่เจียวจานนี้ เพราะมันเต็มไปด้วยหนอน หรือ ตัวอ่อนอะไรสักอย่าง
สรุปแล้ว แม่ครัวไม่ได้เผลอทำหนอนตกใส่ไข่เจียวหรอกนะคับ แต่มันคือเมนูเปิบพิสดารของที่นี่ 555 ตอนนั้นทุกคนก็ช็อคกันไปพักนึง แต่แล้วก็กลับหัวเราะตัวเองกันคับ ที่เห็นแก่ความอร่อยจนไม่สนใจอะไรเลย ตกลงไข่เจียวหนอนจานนั้นก็เปลี่ยนจากความสยองกลายเป็นเรื่องตลกไปแทน 555:)
เราปิดท้ายมื้อหนักของวันนี้ด้วยแกแฟแบบเวียดนามแท้ๆ ก่อนที่จะเดินกลับไปทะเลสาปคืนดาบกันต่อเพื่อชมละครหุ่นน้ำซึ่งถือเป็นการแสดงเอกลักษณ์เฉพาะของเวียดนามกันคับ
ปล. กาแฟเวียดนามจะเป็น 3 ชั้น แล้วก็ต้องขอบอกว่าเป็นกาแฟที่....เข้มมากกกกกกกกก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น