วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เวียดนาม # 7 ฮาลองเบย์ / ถนนคนเดิน

วันนี้เรายังคงต้องตื่นกันแต่เช้าตรู่เหมือนเคยเพราะวันนี้เรามีนัดจะต้องนั่งรถออกไปนอกเมืองเพื่อไปชมแหล่งท่่องเที่ยวที่อาจจะเรียกได้ว่าโด่งดัง และสำคัญที่สุดของเวียดนามนั่นคือ....ฮาลองเบย์


สำหรับการเดินทางไปฮาลองเบย์ เราสามารถซื้อบริการแบบ 1 day tour ซึ่งหาซื้อทัวร์นี้ได้ตามเอเจนซี่หรือโรงแรมทั่วไป  ส่วนพวกเราได้ตัดสินใจเลือกซื้อทัวร์นี้ที่โรงแรมที่พักของเราเลยในราคา 20$ ซึ่งเป็นราคาที่เราเช็คมาล่วงหน้าแล้วว่าพอรับได้  นอกจากนั้นการซื้อทัวร์ผ่านโรงแรมที่พักทำให้พวกเราค่อนข้างเชื่อว่าคงจะไม่มีเรื่องตุกติก เพราะยังไงเราก็ยังเป็นแขกพักอยู่ที่นี่ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็สามารถกลับมาโวยทางโรงแรมได้ตลอดเวลา  โรงแรมคงไม่กล้าเอาทัวร์แย่ๆมาให้แขกที่พักกับโรงแรมแน่ๆ

ที่ต้องเล่าเหตุผลตรงนี้เพราะคงต้องย้ำอีกครั้ง (กลัวอ่านมาหลายๆตอนแล้วลืม) ว่าเวียดนามเป็นประเทศที่เสี่ยงต่อการโฆษณาชวนเชื่อที่เ้กินจริงและเรื่องหลอกลวงตลอดเวลา (ไม่ได้จะอคตินะคับ แต่เจอกับตัวหลายเรื่องทีเดียว ไม่นับที่เขาเล่าต่อๆกันมาจนกระฉ่อนไปทั่วทั้งวงการในโลกไซเบอร์)

อย่างที่ผมไปฮาลองเบย์ ก็ไปเจอกลุ่มคนไทยกลุ่มหนึ่งที่ซื้อทัวร์ฮาลองเบย์แบบค้างคืน (เรือจะทำเป็นเหมือนโรงแรมให้นอนค้างในเรือได้)  แล้วก็กำลังโวยวายอย่างหนักด้วยภาษาไทย เลยรู้เรื่องราวคร่าวๆว่าเขาซื้อทัวร์มาแต่ได้เรือที่เก่าและโทรมมากๆ ไม่เหมือนที่โฆษณาไว้ แถมอาหารก็ห่วยจนกินไม่ได้   ส่วนคนอื่นๆที่มาด้วยกันก็ยืนกันแบบเซ็งๆ เศร้าๆ เพราะถึงตรงนั้นก็คงแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว    เพราะฉะนั้นขอย้ำนะคับว่าถ้าจะซื้อบริการใดๆ ก็แล้วแต่ในเวียดนาม คงต้องหาบริษัทที่น่าเชื่อถือดีกว่าคับ  อย่าเสี่ยงมองโลกในแง่ดีเลย

กลับมาที่เรื่องของเรากันต่อ  ไม่รู้ว่าเ้ป็นเพราะช็อคจากปาท่องโก๋ตกพื้น หรือเป็นผลค้างเคียงจากการกินผงชูรสมากเกินไป ก็เลยทำให้พวกเราตื่นกันค่อนข้างสายคับ (555 มั่วไปเนียนๆ)  เช้านี้ก็เลยไปหาอาหารเช้าทานกันไม่ทัน  งานนี้เลยต้องอาศัยขนมฟาร์มเฮ้าท์ที่พกมาจากเมืองไทยมากินประทังชีวิตไปก่อน  เพราะรถมารับพวกเราตรงเวลาคับ ที่บริเวณหน้าโรงแรมเลย


จากฮานอยไปฮาลองเบย์ใช้เวลาประมาณ 3 ช.ม (150 ก.ม) ก็หลับไปเพลินๆ คับ แต่ระหว่างทางก็มีแวะให้เข้าห้องน้ำ รวมทั้งใครที่ยังไม่ทานมื้อเช้าก็สามารถหาอาหารรองท้องได้  ส่วนคนที่เป็นพวกรักการช็อปเข้ากระแสเลือด ที่นี่ก็มีงานฝีมือจากเด็กๆพิการหรือกำพร้าให้เลือกซื้อหาไปเป็นของที่ระลึกได้ แถมยังได้ทำบุญด้วย



พวกเรามาถึงท่าเรือฮาลองเบย์ก็ราวๆ 11 โมง   ที่นี่มีผู้คนเยอะแยะมากมายสมเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โด่งดังของเวียดนาม  โดยบริเวณท่าเรือจะมีเรือมังกร ซึ่งเป็นเรือที่จะนำเราไปชมอ่าวฮาลองเบย์ที่สวยงามจนได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลกจอดเรียงรายอยู่  ซึ่งเรือแต่ละลำนั้นก็มีตั้งแต่ขนาดเล็กไปถึงใหญ่มากๆ สำหรับใช้ค้างคืนด้วย

สำหรับใครที่เดินทางมาที่ท่าเรือด้วยตัวเองก็สามารถมาซื้อตั๋วขึ้นเรือที่บริเวณท่าเรือนี้ได้เหมือนกัน


ส่วนพวกเราที่ซื้อทัวร์มาแล้วก็เดินตามเจ้าหน้าที่ไปนั่งรอสักพัก ก็ถูกตามไปขึ้นเรือคับ  โดยเรือแต่ละลำนั้นจะจุคนไม่เกิน 10 คนต่อลำ ซึ่งก็ดีนะคับเพราะไม่แออัดเกินไป   และที่หัวเรือนั้นจะสังเกตุได้ว่าจะมีการสลักรูปหัวมังกรที่หัวเรือทุกลำ  ด้วยเหตุนี้มังคับก็เลยทำให้เรือนำเที่ยวฮาลองเบย์แห่งนี้ได้รับการเรียกขานว่า...เรือหัวมังกร



เมื่อได้เวลาฤกษ์ดี (ออกตอนไหน ก็ฤกษ์ดีตอนนั้นล่ะคับ) เรือก็เริ่มออกจากท่าไปสู่ท้องน้ำอันเวิ้งว้าง แต่ไม่เดียวดายเพราะมีเรือลำข้างๆ หลายลำทยอยออกจากท่าตามเรามาติดๆ



 ฮาลองเบย์  (Halong Bay)  หรือ อ่าวฮาลอง เป็นส่วนหนึ่งของอ่าวตังเกี๋ยในทะเลจีนใต้  ประกอบไปด้วยหมู่เกาะกว่า 3,000 เกาะ และมีเนื้อที่กว่า 4,000 ตารางกิโลเมตร เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับการยอมรับว่ามีความสวยงามและสมบูรณ์ทางธรรมชาติ ทั้งสายน้ำที่เงียบสงบและหมู่เกาะต่างๆที่อยู่รายรอบนับพัน จนได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปี 2537    


 คำว่า "ฮาลอง" นั้นมีความหมายว่า "มังกรร่อนลง" ซึ่งมาจากตำนานที่มาของฮาลองเบย์ที่เล่าสืบต่อกันมาว่า ในอดีตระหว่างที่ชาวเวียดนามกำลังต่อสู้กับกองทัพจากประเทศจีน  เทพเจ้าได้ส่งกองทัพมังกรลงมาช่วยปกป้องแผ่นดินเวียดนาม  ทัพมังกรเหล่านี้ได้ดำดิ่งลงสู่ท้องทะเลบริเวณที่เป็นอ่าวฮาลองในปัจจุบัน ทำให้มีอัญมณีและหยกพุ่งกระเด็นออกมา จนกลายเป็นเกาะแก่งน้อยใหญ่กระจายอยู่ทั่วอ่าว ถือเป็นเกราะป้องกันผู้รุกราน ทำให้ชาวเวียดนามปกป้องแผ่นดินของพวกเขาได้สำเร็จและก่อตั้งประเทศซึ่งต่อมา ก็คือเวียดนามในปัจจุบัน

 การนั่งเรือล่องชมอ่าวฮาลองเบย์นั้นจะมีการแวะนำชมจุดสำคัญๆ 2 - 3 จุด ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ..... 

ถ้ำเด่าโก๋ (Dao Go) หรือที่เรียกกันว่า "ถ้ำสวรรค์" ซึ่งเป็นถ้ำที่มีหินงอกหินย้อย ที่ถ้าอ่านจากข้อมูลต่างๆ จะบอกว่ามีความสวยงามตระการตา โดยในถ้ำแห่งนี้จะมีห้องโถงใหญ่ให้นักท่องเที่ยวได้ชมความงามของหินงอกหินย้อยถึง 3 ห้อง




แต่จากการไปสัมผัสด้วยตาตัวเอง คงต้องขอแชร์ข้อมูลตามตรงว่าไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด หรืออย่างน้อยๆ ก็สวยสู้ถ้ำหินงอกหินย้อยในบ้านเราหลายๆถ้ำไม่ได้   เพราะที่นี่เน้นจัดแสงสี สาดเข้าไปยังหินงอกหินย้อยเพื่อให้ดูสวยงาม ตระการตา  มากกว่าที่จะได้เห็นความสวยงามตามการรังสรรค์จากธรรมชาติจริงๆ  ซึ่งเมื่อพูดถึงตรงนี้ก็อดภูมิใจในถ้ำหินงอกหินย้อยในเมืองไทยหลายๆแห่งไม่ได้ เพราะเท่าที่ผมเคยได้ไปเที่ยว ก็ได้รับข้อมูลมาว่าในเมืองไทยเราเลิกใช้ไฟสีๆแบบนี้สาดเข้าหาหินงอกหินย้อยในถ้ำมานานแล้ว  เพราะนอกจากจะ Fake และไม่เป็นธรรมชาติแล้ว  แสงไฟที่สาดเข้าไปนั้นจะไปทำลายหินงอกหินย้อยให้เสื่อมสภาพเร็วขึ้น    

การท่องเที่ยวเพื่อชมธรรมชาตินั้น ก็ควรอยู่บนหลักการว่าจะต้องไม่ไปทำลายธรรมชาติด้วยนะคับ !!!


 

เราใช้เวลาในถ้ำอัน(ไม่ค่อยจะ) สวยงามนี้แป๊บเดียวเองคับ  ก็ตัดสินใจออกมาดูวิวข้างนอก ซึ่งสวยงามกว่ามาก   จนเมื่อได้เวลาพวกเราก็เดินทางต่อไปหมู่บ้านประมง  ซึ่งบริเวณนี้เรือจะจอดนิ่งให้เรารับประทานอาหาร  แล้วก็ทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อพักผ่อนได้ เช่น  การพายเรือ  หรือลงเล่นน้ำ โดยจะมีแพที่ให้บริการเช่าอุปกรณ์ต่างๆ อยู่บริเวณนั้นเลย   หรือถ้าใครยังหลงใหลติดใจพวกถ้ำต่างๆอยู่เขาก็มีจัดทัวร์พาไปดูถ้ำอื่นๆอีก ซึ่งต้องเปลี่ยนเรือและจ่ายค่าทัวร์เพิ่ม เพราะส่วนนี้จะไม่รวมในโปรแกรมทัวร์ที่จัดมาตั้งแต่ต้น  โดยเรือจะนำกลับมาส่งที่เรือลำเดิมเพื่อกลับไปยังท่า  แต่สำหรับพวกเราหลังจากได้เห็นถ้ำอันแสนจะธรรมดาที่เด่าโก๋แล้ว ก็เลยตัดสินใจนอนเล่น ชมวิว กินบรรยากาศอยู่ในเรือที่บริเวณนี้ดีกว่า


 ส่วนเรื่องอาหารที่เสิร์ฟในเรือจะมีประมาณ 4 - 5 อย่างซึ่งก็เป็นอาหารธรรมดาๆ นะคับทั้งหน้าตาและรสชาติ  แต่ถ้าใครอยากจะกิน กุ้ง หอย ปู ปลาที่อลังการขึ้นมาหน่อยก็สามารถสั่งอาหารจานพิเศษจากแพที่เขาให้บริการอยู่ข้างๆ ได้  เรียกว่าได้ทานของสดๆกันเลย เพราะกุ้งหอยปูปลาเหล่านี้เขาก็แช่น้ำอยู่ในกระชังที่บริเวณแพของเขานั่นแหละคับ


นอกจากนั้นใครที่คิดว่ามาอยู่กลางน้ำ กลางทะเลแบบนี้แล้วคงไม่ได้ใช้เงิน ก็คิดผิดนะคับ เพราะบริเวณนี้จะคราคร่ำไปด้วยเหล่าแม่ค้าที่พายเรือมาเสนอสินค้าถึงที่  โดยมีเทคนิคการขายชั้นยอด นั่นคือใช้เด็กหน้าตา้บ้องแบ๊วน่าเอ็นดู มาเรียกคะแนนสงสารให้เรายอมควักเงินออกจากกระเป๋า  ซึ่งหลังจากได้พบปะกับเด็กเหล่านี้แล้วก็อนุมานได้ว่า...คนไทยมาเที่ยวที่นี่เยอะมาก...เพราะเด็กๆ แทบทุกคนพูดภาษาไทยได้หมดเลยคับ 555



นั่งเล่น นอนเล่น จนหลับไปหลายตื่น เพราะบรรยากาศน่ารื่นรมย์จริงๆ  คับ  จนได้เวลาที่เรือเริ่มเคลื่อนที่ออกไปเพื่อกลับไปยังท่าเรือ  โดยพอเรือออกมาสักพักก็ได้ยินเสียงประกาศจากไกด์ที่ฟังจากสำเนียงแล้วไม่แน่ใจคับว่าเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาเวียดนาม ฟังไม่ออกจริงๆ ที่สำคัญฟังจากน้ำเสียงแล้ว ดูไม่ใช่เรื่องสำคัยอะไร เพราะไกด์ก็ประกาศแบบเรื่อยๆ เฉื่อยๆ ไม่มีอะไรตื่นเต้น    ที่สำคัญตอนนั้นกำลังเคลิ้มๆ ไปกับบรรยากาศ สายลมเบาๆ  และแสงแดดอ่อนๆ กับภาพวิวทิวทัศน์ที่สวยงามอยู่ด้วย เลยไม่ค่อยสนใจสิ่งที่ไกด์ประกาศเท่าไหร่คับ



ตอนหลังถึงพึ่งมารู้คับว่าสิ่งที่ไกด์ประกาศนั้นสำคัญมาก เพราะกำลังบอกให้พวกเราดูสัญลักษณ์สำคัญของฮาลองเบย์นั่นคือ เกาะหินคู่ (The Fighting Cocks) หรือบางคนเรียก The Kissing Cocks  ที่รู้ก็เพราะว่ามีเพื่อนคนนึงจับภาพไว้ได้ตอนที่ไกด์ประกาศ แต่ก็ด้วยความบังเอิญนะคับเพราะไม่รู้เหมือนกันว่าไกด์ประกาศอะไร  ตอนกลับมามาดูรูปกับหนังสือนำเที่ยว ถึงได้รู้คับว่า...เราพลาดไปแล้ว (ยกเว้นเพื่อที่ถ่ายรุปไว้ได้)  แต่ก็อีตาไกด์นะ  ผ่านจุดสำคัญขนาดนี้ช่วยพูดให้เสียงดังฟังชัด และน่าตื่นเต้นตกใจกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้  เฮ้อ !!!!



 ล่องเรือพร้อมดื่มด่ำบรรยากาศภาพพระอาทิตย์ค่อยๆ ตกน้ำ    พร้อมทั้งเก็บเกี่ยวความสวยงามประทับใจจากวิวทิวทัศน์จนเต็มอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาพอดีที่เรือก็กลับมาถึงท่าเรือคับ ซึ่งจากจุดนี้เราก็นั่งรถตรงดิ่งกลับเข้าฮานอยกันเลย โดยคืนนี้เรามีนัดสำคัญอยู่ที่ถนนคนเดิน คับ 



กลับเข้าฮานอยรอบนี้เราต้องลงเดินกันไกลหน่อยคับ เนื่องจากจะมี ถนนคนเดิน ซึ่งจะมีเฉพาะคืนวันเสาร์และอาทิตย์ เท่านั้น  ดังนั้นรถจึงไม่สามารถขับเข้าไปบริเวณ Old Quarter ได้ 

ถนนคนเดินในฮานอยนั้นก็อยู่ไม่ไกลจากทะเลสาปคืนดาบเลยคับ  แค่เดินลงไปยังวงเวียนที่มีเคเอฟซีแล้วเดินลงไปตามถนนสายนั้นอีกนิดหน่อยก็จะเจอถนนตัดขวางเป็นทางยาวที่คึกคักไปด้วยผู้คน และร้านค้าที่ตั้งอยู่อย่างแน่นขนัดบนถนน  เห็นปุ๊บ ก็รู้ปั๊บว่าเป็นถนนคนเดินเลย

ระหว่างทางที่กำลังเดินมาถึงริมทะเลสาปคืนดาปก็เจอร้านน่าสนใจคับ  เป็นร้านที่ขายอะไรบางอย่างคล้ายๆฟลุ๊ตสลัดใส่ไว้ในแก้วพลาสติกแล้วตั้งไว้ในตู้  จริงๆแล้วผมไม่ได้เล็งร้านนี้ไว้ หรอกคับ แต่เพราะ 2 วันที่อยู่ในฮานอยเห็นมีหลายร้านขายฟลุ๊ตสลัดแบบนี้ก็เลยเดาว่าน่าจะฮิตที่นี่ เลยอยากลองชิมว่ามันเป็นยังไง

สรุปแล้วก็เป็นฟรุ๊ตสลัดใส่นมสด และน้ำแข็งคับ  รสชาติอร่อยมากทีเดียว  เหมือนกิน Ice monster ยังไงอย่างนั้น แต่ใช้น้ำแข็งบดหยาบๆแทน




ก่อนที่จะไปถนนคนเดินต่อพวกเราได้ตกลงกันว่าจริงๆ กองทัพต้องเดินด้วยท้องเราจึงตัดสินใจไปหาอะไรรองท้องกันก่อนที่ร้าน.... Little Hanoi ....ซึ่งเป็นร้านอาหารชื่อดังที่หนังสือนำเที่ยวชื่อก้องโลกอย่าง Lonely Planet ถึงกับแนะนำให้มาชิม 



ลองสั่งมาทานกันไม่กี่อย่างคับ เพราะอยากจะแค่ทานรองท้อง   รสชาตินั้นก็ถือว่าธรรมดาคับ ไม่ได้อร่อยพิเศษอะไรมากมาย แต่ราคานั้นเรียกว่าเอาการอยู่


  อิ่มกันแล้วก็มีแรงเดินล่ะคับ ว่าแล้วพวกเราก็ไปคะลุยช็อปกันที่ถนนคนเดินต่อเลย ซึ่งถนนสายนี้จะมีสินค้ามากมายหลากหลายชนิดให้นักท่องเที่ยวและคนฮานอยเองมาช้อปปิ้งกันอย่างจุใจ ทั้งของที่ระลึก เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า อาหารการกิน รวมทั้งบริการอื่นๆ เช่น แต่งโทรศัพท์มือถือ ต่อผม ทำเล็บ



 จริงๆ แล้วก่อนมา พวกเราก็ได้อ่านข้อมูลที่เป็นคำเตือนในการเดินช้อปปิ้งที่ถนนคนเดินแห่งนี้มาแล้วว่าให้ระวังสิ่งของมีค่าให้ดี เพราะมิจฉาชีพค่อนข้างเยอะ   พวกผมจึงค่อนข้างระวังตัวกันมาก เก็บข้าวของทุกอย่างที่มีค่าไว้อย่างมิดชิด  แต่ถึงจะระวังขนาดนี้แล้ว ก็มีเพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งโดนกรีดกระเป๋าสะพายจนได้  โดยเจ้าหัวขโมยได้กล้องถ่ายรูปไป 1 ตัวคับ  โชคดีนะคับที่มันไม่ได้เงินหรือพาสปอร์ตไปด้วย เพราะเพื่อนคนนี้เป็นคนเก็บเงินกลุ่ม ไม่งั้นคงเป็นเรื่องใหญ่กว่านี้

ใครที่เคยทำกล้องถ่ายรูปหายระหว่างท่องเที่ยวคงรู้นะคับว่ามันเซ็งแค่ไหน ที่จริงไม่ได้เสียดายกล้องหรอกคับ แต่รูปนับร้อย นับพันรูปในกล้องต่างหากที่หามาทดแทนไม่ได้  วันนั้นพวกเราก็เลยพลอยเดินแบบเซ็งๆกันไปด้วย  สุดท้ายก็เลยตัดสินใจเดินกลับโรงแรมเลยคับ



ระหว่างทางเดินผ่านร้านขายอาหารคล้ายๆ ปอเปี๊ยะสดที่เห็นในหนังสือนำเที่ยว ก็เลยลองเข้าไปทานกันคับ เพราะช่วงเย็นเพิ่งทานอะไรรองท้องไปนิดหน่อยเท่านั้น



ที่ร้านนี้ระหว่างที่นั่งรออาหาร ก็ได้เห็นกรรมวิธีการทำแบบใกล้ชิด ได้บรรยากาศดีคับ ดูทำง่ายๆ แต่วัตถุดิบต่างๆ ก็ดูดี น่าจะอร่อย  ซึ่งพอได้ลองทานก็ต้องยอมรับคับว่า...ของเค้าอร่อยจริงๆ....ทั้งปอเปี๊ยะสด และ หมูยอสด

...อย่างนี้สิถึงเรียกว่าได้มากินถึงต้นตำหรับ !!!



 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น