วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เวียดนาม # 6 โบสถ์ St.Joseph / ตลาดดอนซวน

บริเวณทะเลสาปคืนดาบถือเป็นแหล่งใจกลางสำคัญของฮานอย เพราะนอกจากจะเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ แล้ว  ยังมีร้านค้า ร้านอาหารมากมายให้เลือกสรรทั้งการกินและช้อปปิ้ง  จนอาจจะถือได้ว่าเป็นย่านที่มีความเจริญสูงสุดแล้วในเมืองหลวงของเวียดนามแห่งนี้



ออกจากโรงละครหุ่นเราก็มุ่งหน้าไปกันต่อที่โบสถ์ St. Joseph โดยต้องเดินเลาะริมทะเลสาปคืนดาบขึ้นไป ก็เลยมีโอกาสเจอกับร้านขายน้ำ เป็นรถคันเล็กๆสีสันบาดตาที่ทุกคนเห็นแล้วก็ลงมติว่าหน้าตาร้านดูดีมีสกุล น่าจะลองไปอุดหนุนกันหน่อย



น้ำของร้านนี้มีหลายๆแบบ ทั้งชานมไข่มุกและน้ำหน้าตาประหลาดๆอีกมากมาย   ผมพยายามเลือกน้ำที่ดูธรรดาที่สุดซึ่งก็คือชานมไข่มุกธรรมดาๆ นั่นเอง เพราะยังไม่อยากเสี่ยงกับน้ำหน้าตาประหลาดๆ อื่นๆที่วางอยู่   แต่เพื่อนบางคนก็อยากลองของใหม่ เลยตกลงใจซื้อน้ำอะไรบางอย่างที่เหมือนชานมใส่ข้าวเหนียวดำ

หน้าตานั้นว่าแปลกแล้ว แต่เพื่อนฟันธงว่ารสชาตินั้น...แปลกยิ่งกว่า ดีแล้วที่ไม่สั่ง  555



ได้อีกหนึ่งประสบการณ์แปลกใหม่จากน้ำหน้าตาแปลกๆแล้ว เราก็เดินกันไปต่อ (โดยใช้แผนที่นำทาง) เพื่อไปยังยังโบสถ์ St. Joseph ซึ่งใช้เวลาไม่นานคับ เราก็เดินมาถึงโบสถ์คริสต์ที่ได้ชื่อว่าสวยงามและเก่าแก่ที่สุดในฮานอย




โบสถ์เซนต์โยเซฟ (St. Joseph) เป็นโบสถ์ที่ชาวเวียดนามจะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าโบสถ์ใหญ่ ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งของเจดีย์ บ่าว เทียน แต่ในยุคที่ฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเวียดนามได้ทำลายเจดีย์แห่งนี้และสร้างโบสถ์คริสต์ขึ้นมาแทนโดยให้เหตุผลว่าเพื่อพัฒนาเวียดนามให้มีโบสถ์ที่สวยงามเหมือนนานาประเทศ ซึ่งเป็นเหตุผลที่แสนจะ  #$@%4#4^7$36 (เป็นคำหยาบไม่สามารถออกอากาศได้)



โบสถ์แห่งนี้ถือเป็นโบสถ์ในนิกายโรมันคาทอลิก สร้างขึ้นในปี 1886 ด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Neo Gothic โดยพยายามจำลองความสวยงามมาจากโบสถ์ Notre Dame ของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส



นอกจากความสวยงามของตัวโบสถ์แล้ว รูปสักการะของพระแม่มารีด้านหน้าโบสถ์ก็มีความสวยงามควรค่าแก่การมาเยือนเป็นอย่างยิ่ง  แต่น่าเสียดายที่วันนั้นเราไปถึงค่อนข้างเย็นแล้ว จึงไม่สามารถเข้าไปชมด้านในได้

  
ชมความงามของโบสถ์เซนต์โยเซฟกันจนอิ่มใจแล้ว เราก็เดินไปต่อ (เดินกันน่องโต) เพื่อที่จะไปตลาดดอนซวนซึ่งเป็นตลาดที่จำหน่ายสินค้ามากมายหลากหลายชนิดให้ช้อปปิ้งกันในตลาดเดียว  ซึ่งระหว่างทางเราก็ผ่านร้านของกิน (อีกแล้ว)  เป็นร้านที่ขายของทอดเหมือนปอเปี๊ยะทอด  ซาลาเปาทอด หมูยอทอด ท่าทางน่ากินมาก



ที่สำคัญ ร้านนี้มีคนนั่งยองๆ กินกันเต็มร้าน   แถมต่อคิวซื้อกันมากมาย  ปรากฎการณ์นี้ที่ไหนๆก็คงเหมือนกันทั่วโลกโดยไม่ต้องมีใครมาอธิบายว่า...ท่าทางจะเป็นร้านดัง แล้วก็คงจะอร่อย  เราก็ตัดสินใจสั่งมาอย่างละนิดละหน่อยขอลองชิมบ้าง แล้วก็ไม่ผิดหวังคับเพราะของเขา อร่อยจิง ดีจิง ทั้งกรุบกรอบและรสชาติดีอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะน้ำจิ้มต้นตำรับแท้ๆแบบเวียดนาม พอมาทานคู่กับทั้งปอเป๊ยะ ซาลาเปาทอด และหมูยอ  มันอร่อยมากๆๆๆ....

...มิน่าล่ะ ถึงมีคนมาทานกันมากมายขนาดนี้ เป็นลาภปากจริงๆ


เพราะมัวแต่ชมโน่น ชมนี่ แถมแวะกินตลอดทาง กว่าที่เราจะมาถึงตลาดดอนซวนก็ค่ำมืดแล้วคับ ร้านค้าก็ทยอยปิดกันไปบ้างแล้ว แต่เท่าที่ลองเดินดูก็ไม่ได้มีสินค้าอะไรแปลกใหม่ หรือพิเศษกว่าที่อื่นๆ   สินค้าพวกนี้มีอยู่ทั่วไปแถวทะเลสาปคืนดาบ และย่าน Old Quarter ก็เลยไม่ได้ช้อปอะไรกันเลยคับ



ถึงไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมา แต่อย่างน้อยก้ได้มาเห็นหน้าตาของตลาดดอนซวนตามเช็คลิสต์แล้ว เวลามีใครถามจะได้ไม่เสียหน้า 555     ว่าแล้วพวกเราก็เดินกลับไปย่าน old quarter ที่ริมทะเลสาปกันอีกครั้งเพื่อหาอะไรทานเป็นมื้อเย็นคับ (หิวกันตลอดเวลา)

ยิ่งดึกย่าน old quarter ที่ริมทะเลสาปคืนดาบยิ่งคึกคักคับ เพราะมีร้านรวงมาตั้งขายสินค้าและอาหารแบบแบกะดินกันมากมาย แถมพวกฝรั่งที่ไม่ค่อยเห็นหน้าในช่วงกลางวันก็โผล่มาจากไหนไม่รู้คับ เยอะแยะมากมาย (ทำตัวยังกะผีดิบ) 


วันนี้เราลองเมนูแรกด้วยอะไรบางอย่างไม่รู้คับ ดูแล้วคล้ายๆ ส้มตำ  ร้านนี้เราใช้วิธีสังเกตุแบบเดิมๆ คือเลือกร้านที่มีคนนั่งทานเยอะๆ (เยอะจริงๆ) แถมมีคนต่อคิวซื้อกันยังกะแจกฟรี ก็เลยลองเข้าไปซื้อมาชิมด้วย   หน้าตามันจะเหมือนเอามะละกอฝอยมาราดด้วยน้ำปรุงรสที่เขาทำมาไว้แล้ว  โรยหน้าด้วยถั่วลิสงและอะไรบางอย่างเป็นแผ่นๆ ดูกรอบๆ น่าทานมากคับ  แต่พอจะลองทานเท่านั้นแหละ ข่าวร้ายก็มาเยือนเพราะกลิ่นที่โชยมาค่อนข้างบอกชัดเจนว่าเจ้าแผ่นบางๆ กรอกๆนั้นดูท่าจะเป็นเนื้อคับ และเนื่องจากผมเป็นคนไม่ทานเนื้อก็เลยต้องขอบายเมนูเด็ดจานนี้ไปอย่างน่าเสียดาย TT

แต่เพื่อนๆ ที่ได้ลองชิม ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันคับว่า....อร่อย..ฉะนั้นใครมีโอกาสก็ไปลองทานกันดูนะคับ


หลังจากต้องนั่งตาปริบๆ มองเพื่อนๆทานอย่างเอร็ดอร่อย ก็ได้เวลาของผมบ้าง เพราะคราวนี้เราได้ไปลองร้านเฝอร้านนึงที่เล็งไว้ตั้งแต่เดินผ่านแล้วว่าหน้าตาน่าทานและอยากจะลองมาชิม



อย่างที่ผมเกริ่นไว้ตั้งแต่แรกๆคับว่า เฝอ ในเวียดนามนั้นมีหลายแบบ (คงคล้ายก๋วยเตี๋ยวบ้านเรา) ซึ่งเฝอร้านนี้จะมีน้ำซุปออกสีเหลืองๆ กลิ่นเหมือนไก่ต้มขมิ้น  ผมก็เลยอยากลองทานดู  ซึ่งปรากฎว่ารสชาตินั้นอร่อยล้ำคับ อร่อยจริงๆ  ยิ่งทานคู่กับปาท่องโก๋แล้ว ยิ่งเป็นเมนูที่พลาดไม่ได้เลย


แต่ระหว่างที่กำลังชื่นชมกับรสชาติของเฝออันแสนจะเอร็ดอร่อยที่กำลังทานอยู่นั้น  สายตาก็ดันไปเห็นเคล็ดลับเบื้องหลังความอร่อยของเฝอชามนี้  เพราะเห็นกับตาว่าเจ๊แม่ค้าตักผงขาวๆ ซึ่งคงเป็นผงชูรสกระหน่ำใส่ลงไปในชามเฝอที่มีลูกค้าคนใหม่กำลังสั่งแบบไม่ยั้ง  ถึงช้อนจะเล็กไม่ใหญ่มาก แต่เจ๊เล่นตักใส่แบบไม่ขี้เหนียว เท่าที่นับได้น่าจะไม่ต่ำกว่า 5 ช้อน  

งานนี้เห็นแล้วตกใจเลยคับ เพราะนี่ยังไม่นับผงชูรสที่ใส่ลงไปตั้งแต่ต้มน้ำซุปนะคับ  เฮ้อ โชคดีที่ไม่ได้เป็นคนแพ้ผงชูรส  ไม่งั้น กินไปสงสัยน้ำลายฟูมปากแน่   ใครที่แพ้ผงชูรสพวกนี้คงต่องระวังๆในการทานอาหารในเวียดนามหน่อยละคับ


นอกจากเรื่องผงชูรสแล้ว คงต้องระวังความสะอาดด้วย  เพราะอย่างที่ผมบอกว่าสิ่งที่ทำให้เฝอชามนี้อร่อยมากขึ้น ก็คือเครื่องเคียงที่เป็นปาท่องโก๋  แต่ตอนที่เราอิ่มกันแล้วและกำลังจ่ายเงินให้กับเจ๊แม่ค้าก็ได้เห็นเบื้องหลังอีกหนึ่งเบื้องหลัง นั่นคือ ลูกชายเจ๊กำลังเอาปาท่องโก๋ล็อตใหม่มาใส่ไว้ในจาน แต่เผอิญทำตกระหว่างทาง  ลูกชายเจ๊ก็หยิบปาท่องโก๋พวกนั้นจากพื้นบนฟุตบาทขึ้นมาใส่จานอย่างเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็เอามาวางบนโต๊ะแบบชิวๆ  เนียนๆ

เห็นภาพนั้นแล้ว พวกเราก็หันมามองหน้ากัน แล้วก็นึกในใจว่าแล้วปาท่องโก๋ ที่พวกตูพึ่งสวาปามไปกันล่ะ มันเคยตกแบบนี้หรือเปล่า(ว่ะ)  หรือมันเคยผ่านอะไรที่ไม่สมควรจะผ่านมาบ้าง  นึึกแล้วก็แทบอยากจะขย่อนปาท่องโก๋ที่กินไปออกมาให้หมดเลยคับ

คืนนั้นแม้จะอิ่มอร่อยกับรสชาติเมนูมื้อดึก แต่ก็ต้องนอนแบบหลอนๆ กับภาพผงชูรส และปาท่องโก๋ที่ตกลงพื้นนั้นอยู่นานกว่าจะข่มตาหลับได้

."""".เอาน่าถือว่าได้กินของอร่อยแถมไม่ตาย ยังนอนหายใจอยู่ได้ นั่นก็บุญเท่าไหร่แล้ว 555!!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น