หลังจากที่พวกเราอิ่มหนำสำราญโดยมีของแถมเป็นประสบการณ์ช็อคๆ เล็กน้อยจากมื้ออาหารแล้ว พวกเราก็รีบตรงดิ่งกลับมาที่ทะเลสาปคืนดาบกันเลย
ทะเลสาปคืนดาป ถือเป็นจุดศูนย์กลางของฮานอย เป็นสถานที่สำคัญที่หากนักท่องเที่ยวไม่ได้เดินทางมาเยือนแล้วคงเรียกได้ว่ายังคงมาไม่ถึงฮานอย ส่วนที่มาของชื่อ "ทะเลสาปคืนดาบ" นั้นก็เพราะเคยมีตำนานเล่าว่า....ในอดีตเวียดนามได้ถูกรุกรานและครอบครองโดยราชวงศ์หมิง ของประเทศจีนมาอย่างยาวนานถึง 20 ปี จนกระทั่งมีวีรบุรุษชื่อ เลเลย ขึ้นมาเป็นหัวหน้ากลุ่มกบฎนำประชาชนเวียดนามลุกขึ้นต่อสู้กับราชวงศ์หมิงจนได้รับอิสระ โดยในระหว่างการต่อสู้นั้น เลเลย ได้ใช้ "ดาบมรกต" ซึ่งได้ขุดเจอโดยบังเอิญเป็นอาวุธสำคัญในการต่อสู้จนเอาชนะข้าศึกได้ ต่อมาภายหลังวีรบุรุษที่ชื่อ เลเลย ท่านนี้ก็ได้รับการสถาปนาเป็นกษัตริย์ของเวียดนาม ซึ่งก็คือ พระเจ้าหลีไทโต นั่นเอง
วันหนึ่งหลังจากพระเจ้าหลีไทโตได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์แล้ว ก็ได้มาล่องเรือเล่นที่บริเวณทะเลสาปแห่งนี้ ในตอนนั้นเองก็ได้มีเต่าทองคำตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมา แล้วก็บอกกับพระเจ้าหลีไทโตว่าบัดนี้พระองค์ได้ใช้ดาบวิเศษต่อสู้ข้าศึกจนได้รับชัยชนะแล้ว ขอได้โปรดคืนดาบเล่มนี้สู่ท้องทะเลด้วยเถิด พระเจ้าหลีไทโตได้ยินดังนั้น ก็โยนดาบวิเศษคืนลงไปในทะเลสาป ตั้งแต่นั้นมาทะเลสาปแห่งนี้จึงถูกเรียกว่า..."ทะเลสาปคืนดาบ" นั่นเอง
ปัจจุบันทะเลสาปคืนดาบได้กลายเป็นสวนสาธารณะขนาดย่อมให้คนเวียดนามได้มาพักผ่อนหย่อนใจ รวมทั้งเป็นสถานที่ๆหนุ่มสาวหลายคนใช้เป็นสถานที่พลอดรัก (ไม่เชื่อลองย่องมาตอนดึกๆ ดู) โดย ณ ใจกลางทะเลสาปจะมีสิ่งก่อสร้างที่เรียกว่า "หอคอยเต่า" ซึ่งเป็นเจดีย์โบราณที่สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นนัยว่าคงเป็นจุดที่เชื่อว่ามีเต่าวิเศษโผล่ขึ้นมา
บริเวณทะเลสาปคืนดาป นอกจากเรื่องราวของตำนานต่างๆแล้ว ที่นี่ยังมีวัดสำคัญซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของการมาเที่ยวฮานอยด้วย นั่นก็คือ วัดหง็อกเซิน หรือ วัดเนินหยก
วัดหง็อกเซิน ( Ngoc Son) หรือ วัดเนินหยก เป็นวัดที่สร้างที่ขึ้นในศตวรรษที่่ 19 โดยตั้งอยู่บนเกาะกลางน้ำที่ทะเลสาปคืนดาบ เพื่อเป็นการอุทิศให้กับ แม่ทัพตรันฮิ่งดาว แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ผู้สามารถนำพากองทัพเวียดนามให้เอาชนะมองโกลได้ในศตวรรษที่ 13 รวมทั้งอุทิศให้กับ วัน เซือง ผู้เป็นกวีเลื่องชื่อของเวียดนามด้วย
และในการจะข้ามไปยังวัดนั้น เราต้องผ่านประตูทางเข้าซึ่งจะมีรูปสลักแท่นฝนหมึกขนาดใหญ่อยู่ด้านบน โดยเชื่อกันว่าใครผ่านประตูนี้จะเฉลี่ยดฉลาด ความจำเป็นเลิศ เล่าเรียนได้ดี ทำงานอะไรก็จะสำเร็จ ก็เลยเดินเข้าเดินออกเสียหลายรอบเลย 5555
พอผ่านประตูไปแล้วเราก็จะเจอกับ "สะพานเทฮุก" หรือ สะพานแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นสะพานสีแดงสด และได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของฮานอย หากใครเดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่แล้วก็ต้องมาถ่ายรูปกับสะพานนี้เสมอ
ด้านในจะมีศาลเจ้าเล็กๆ ซึ่งมีรูปสักการะของเทพเจ้าอวนกู และเทพเจ้าฮิ่งดาว ตั้งอยู่ เชื่อกันว่าถ้ามาขออะไรเกี่ยวกับการสอบที่นี่จะสมหวัง รวมทั้งมีเต่าอายุ 100 ปี มาตั้งโชว์ไว้ด้วย
เดินชมวัดหง็อกเซินจนทั่ว ก็ได้เวลาที่จะต้องไปชมละครหุ่นน้ำ ศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติของเวียดนามกันแล้วคับ
ละครหุ่นน้ำ ถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของประเทศเวียดนาม โดยการแสดงหุ่นกระบอกน้ำนั้นเริ่มต้นที่บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นบริเวณที่มีน้ำท่วมทุกปีจึงทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการคิดค้นการละเล่น เพื่อสร้างความบันเทิงระหว่างที่น้ำท่วมเป็นเวลานาน
จริงๆแล้วละครหุ่นน้ำของเวียดนามนั้นเกือบเคยสูญหายไปแล้ว แต่ได้รับการรื้อฟื้นจากประธานาธิบดีโฮจิมินห์ที่ได้ออกคำสั่งให้กระทรวงวัฒนธรรมของเวียดนามไปรื้อฟื้น คณะหุ่นน้ำขึ้นใหม่มาหลังจากที่ได้ชมการแสดงหุ่นกระบอกของเชโกลโลวะ เกีย ละครหุ่นน้ำของเวียดนามจึงมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง
สำหรับการแสดงละครหุ่นน้ำ ผู้แสดงจะอยู่หลังฉากซึ่งมีระดับน้ำสูงถึงเอว เพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของหุ่นโดยใช้ไม้ไผ่ลำยาว แต่เทคนิคการเชิดจะได้รับการรักษาไว้เป็นความลับ โดยเนื้อเรื่องของละครจะบอกเล่าเรื่องราวก็เกี่ยวกับวีถีชีวิต ประเพณี ความเชื่อของชาวเวียดนามผ่านการแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะความสงสัยใคร่รู้ของผู้ชมว่าหุ่นน้ำเหล่านี้ผ่านการเชิดได้อย่างไร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น