วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เวียดนาม # 9 ร้านอาหาร Zen / วัดวันเหมียว ( วิหารวรรณกรรม )

อย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ตอนที่แล้วนะคับว่าระหว่างที่ต้องรอเพื่อเข้าเยี่ยมชมบ้านลุงโฮซึ่งจะเปิดตอนบ่าย 2 เราได้วางแผนไปทานอาหารเที่ยงกันที่ร้านบุปเฟ่ย์ชื่อดังของฮานอย นั่นคือร้าน Zen กันก่อน ซึ่งจะอยู่ออกไปไกลพอสมควร(ประมาณ 20 นาที)  แต่ก็คุ้มค่ามากสำหรับผม และถือเป็นมื้อ(เกือบ)ส่งท้ายในเวียดนามที่น่าประทับใจทีเดียว  เนื่องจากที่ร้านอาหารแห่งนี้มีอาหารเวียดนามนานาชนิดให้เราได้ลิ้มลองแบบบุปเฟย์ คือกินกันไม่อั้นทั้งของคาว ของหวาน  เพราะฉะนั้นใครที่พลาดอาหารอะไรในเวียดนามไปก็สามารถมาเก็บซ่อมที่นี่ได้  เรียกว่ามีมากมายจนละลานตาจริงๆ  รวมทั้งรสชาติก็อร่อยใช้ได้  ส่วนราคานั้นก็จะอยู่ที่มื้อเที่ยง 90000 ด่อง มื้อเย็น 110,000 ด่อง ไม่รวมเครื่องดื่มนะคับ

ส่วนการเดินทางนั้น สามารถใช้รถเมล์สาย 33 แต่ผมแนะนำว่าใช้แท็กซี่คงจะดีที่สุดนะคับ ทั้งสะดวกและประหยัดเวลาด้วย  เพราะเราควรจะเดินทางไปให้ถึงร้านก่อนเที่ยง เนื่องจากร้านนี้จะมีกรุ๊ปทัวร์จำนวนมากทั้งในและนอกประเทศมาทานกันด้วย  คงนึกภาพออกนะคับว่าถ้าเราเดินทางไปถึงพร้อมกับกรุ๊ปทัวร์เหล่านี้ สภาพจะเป็นเช่นไร













และจากการที่เราได้มีโอกาสเดินทางไปที่ร้านโดยใช้บริการ Taxi นี่เอง ทำให้เราได้พบกับกลโกงของคนเวียดนามอีกแล้ว หลังจากที่เริ่มจะลืมๆไปนั่นคือ ตอนไปนั่งรถไปตามันก็มองไปที่มิเตอร์ด้วย ก็เลยเห็นว่ามิเตอร์มันขึ้นเร็วมากๆ จนต้องสะกิดเพื่อนๆดู  และทุกคนก็เห็นด้วย แต่อุตส่าห์มองโลกในแง่ดีกันว่านี่อาจจะเป็นเรตปกติของมิเตอร์ที่นี่เพราะเราไม่เคยนั่งรถแท็กซี่ในเวียดนามมาก่อน สรุปแล้วเมื่อถึงจุดหมายปลายทางเราต้องจ่ายค่ารถไปทั้งหมด 270,000 ด่อง หรือประมาณ 540 บาท  โอ้ แม่เจ้า  เรตนี้แทบจะวิ่งรอบกรุงเทพกันได้เลยทีเดียวนะ   แต่พวกเราก็ยังอุตส่าห์มองโลกในแง่ดีอีกว่าน้ำมันในเวียดนามอาจจะแพงมากก็ได้ ก็เลยไม่คิดอะไร

แต่เรื่องมันมาแดงเอาตอนขากลับนี่ล่ะ เพราะเราให้ร้านเรียกแท็กซี่ให้ และก็ขึ้นจากร้านกลับไปยังจุดเดิม  วิ่งโดยใช้เส้นทางเดิม  ลงตรงจุดเดิมที่เคยเรียกแท็กซี่ตอนขามา แต่ผลปรากฎว่า.....มิเตอร์ขึ้นค่าใช้จ่ายทั้งหมดแค่...68,000 ด่อง ????  

เรื่องโดนโกงมิเตอร์บ้าง อาจจะพอรับได้ เพราะพี่ไทยเองก็ไม่น้อยหน้าชาวบ้านประเทศอื่นๆเขาในเรื่องนี้  แต่โกงทั้งที เล่นเอา 4 เท่าของราคาจริงเนี้ย มันเกินไปนะเพ่  มันเลยเจ็บแบบจุกอกตรงนี้แหละ!!!!



โดนโกงแบบจังๆ แบบนี้  หลังจากได้เข้าไปดูบ้านลุงโฮแล้วก็ให้สะท้อนใจว่าขนาดท่านผู้นำยังมีชีวิตอยู่อย่างซื้อสัตย์ มัธยัสถ์  ทำไมคนรุ่นหลังไม่เจริญรอยตาม เอาท่านเป็นแบบอย่างบ้าง  ท่านรู้คงเสียใจแย่ว่าประเทศของท่านตอนนี้มีชื่อเสียงเรื่องความขี้โกงกับนักท่องเที่ยวไปกระฉ่อนโลกแล้ว (ที่จริงแล้วประเทศไทยเองก็เสียเรื่องนี้บ้าง แต่เท่าที่อ่านในเวบท่องเที่ยวต่างประเทศ ไม่มีประเทศไหนที่ถูกพูดถึงเรื่องการโกงเป็นจริงๆจังเหมือนเวียดนามเลย งานนี้ก็ได้พิสูจน์แล้วด้วยตัวเอง)

หลังจากเยี่ยมชมบ้านลุงโฮและทำเนียบประธานาธิบดี (ตามที่เขียนไปในตอนที่แล้ว) เรียบร้อย  เราก็ไปกันต่อที่ วัดวันเหมียว ซึ่งถือเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของเวียดนาม  โดยสามารถเดินไปได้นะคับ แม้จะไกลนิดหน่อยแต่ก็ไม่เกินวิสัยที่จะเดิน  และสิ่งที่น่าชื่นชมก็คือ ทางเท้าในฮานอยนั้นทั้งกว้าง ทั้งเรียบเป็นระเบียบ ไม่มีสิ่งกีดขวางให้ลำบากในการสัญจรของคนเดินเท้าเหมือนบางประเทศด้วย (ประเทศไหนไม่รู้)

วิหารวรรณกรรม หรือวัด วันเหมียว (Van mieu) สร้างในปี 1613 สมัยพระเจ้า Ly Thanh Tong เพื่อเป็นการอุทิศให้ ขงจื้อ ในอดีตวิหารนี้จะอยู่ติดกับโรงเรียนของพวกขุนนางและเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของเวียดนาม 

วิหารวรรณกรรมจะแบ่งออกเป็น 5 ชั้นด้วยกัน โดยด้านในจะมีอาคารชื่อตึกดาวลูกไก่ (Khue Van Cac) ซึ่งเป็นสถานที่ๆ กวีจะมาท่องบทกลอนกัน มีประตูกำแพงใหญ่  Dai Thanh Mon สัญลักษณ์ของกรุงฮานอย กับสระน้ำขนาดใหญ่ตรงกลางลานด้านหลังประตูมีชื่อว่า สระแสงงามเพราะเวลาแสงจากพระอาทิตย์สาดส่องจะสะท้อนเข้าสู่ประตูใหญ่ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง


ด้านข้างของสระแสงงามมีอาคารชั้นเดียวอยู่ 5 หลัง ภายในมีแผ่นหินจารึกรวม 82 แผ่น(จากของเดิมที่มีอยู่ถึง 117 แผ่น) แผ่นหินเหล่านี้จะตั้งอยู่บนหลังเต่าทำด้วยหิน จารึกชื่อ ผลงาน ประวัติทางวิชาการของผู้ที่สอบผ่านได้เป็นบัณฑิต ระหว่างปีพ.ศ.1985-2322 หลายคนจึงเรียกว่า “แผ่นหินจารึกชื่อจอหงวน”  และเหตุที่มีการจารึกชื่อบนหลังเต่าเพราะเป็นการอวยพรให้บัณฑิตเก่งๆ เหล่านี้มีอายุยืนนาน รวมทั้งคนเวียดนามในปัจจุบันยังเชื่อว่าถ้้าเอามือไปลูบหัวเตาจะทำให้ฉลาดเหมือนบัณฑิตเหล่านั้นด้วย








เสร็จจากวัดวันเหมียว หรือวิหารวรรณกรรมแล้ว เราก็รีบกลับโรงแรมเพื่อไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้และเตรียมเดินทางไปสนามบิน  โดยก่อนจะเดินทางนั้นเราได้เดินไปลองทานร้านอาหารพื้นเมืองเวียดนามร้านหนึ่งซึ่งเล็งมาหลายวันแล้ว เพราะเห็นคนแน่นร้านทุกวัน แถมอาหารก็ดูแปลกตาด้วย  โดยเมนูของร้านนี้ เขาจะมีลูกกลมๆ เหลืองๆ แล้วจะนำเจ้าลูกกลมๆ นี้มาปาดเป็นชิ้นเล็กๆ ลงบนข้าวเหนียว ราดด้วย (คิดว่า)น้ำมัน  จากนั้นก็เปาะหน้าด้วยเครื่องเคียงแล้วแต่จะชอบ
ลองทานแล้วก็อร่อยดีนะคับ  คงคล้ายๆ ข้าวเหนียวกรอยบ้านเรา แต่ที่สำให้อร่อยผมว่าเป็นบรรดาพวกเครื่องเคียงที่เราเปาะหน้ามากกว่า





ทานกันจนอิ่มแล้วเราก็รีบตรงไปสนามบินเลย  คราวนี้เราเลือกใช้บริการรถรับส่งสนามบินของเอเย่นท์ที่โรงแรมแนะนำคับเพราะเข็ดแล้วกับเรื่องตุกติก หยุมหยิม แถมคราวนี้ต้องไปให้ทันขึ้นเครื่องด้วย  เกิดไปมีเรื่องมีราวระหว่างทางจะไม่คุ้ม  

ไปถึงผู้คนก็แน่นสนามบินเลยคับ รู้สึกไฟล์ที่ออกจากฮานอยตอนค่ำมีเยอะมาก  พอได้เวลา Boarding ก็ขึ้นไปนั่งรอบนเครื่องเตรียมกลับเมืองไทย แต่....นั่งรอแล้วรอเล่าในเครื่องเกือบชั่วโมง  ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเครื่องจะออก  ผู้โดยสารก็เริ่มเรียกแอร์เข้ามาถามแล้วคับว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่มีคำตอบ

สักพักก็มีเสียงกัปตันประกาศว่าเครื่องมีปัญหาเครื่องยนต์ขัดข้อง กำลังซ่อมอยู่ คิดว่านะจะใช้เวลาไม่เกิน 15 นาที  ถ้าซ่อมไม่ได้ก็จะไม่ขึ้นบิน ต้องขออภัยผู้โดยสารด้วย

เท่านั้นแหละคับ ในเครื่องนี่อื้ออึงเลย   คือกรณีนี้ทำให้คิดนะคับว่าจิงๆแล้วมันดีมั้ยที่จะพูดตรงๆว่าเครื่องยนต์มี ปัญหา ข้อดี คือก็ดูจริงใจดี  แต่ผมว่าผู้โดยสารส่วนใหญ่ไม่สบายใจ หลายคนบอกแอร์ว่าไม่อยากบินแล้วโดยเฉพาะคนที่มีลูกเล็กๆ   เพราะการบอกว่าเครื่องยนต์ขัดข้อง ถึงต่อให้ซ่อมได้ แล้วจะมีอะไรรับประกันว่าจะไม่ไปเสียเอากลางทาง ระหว่างกำลังบิน ผู้โดยสารเลยเริ่มไม่มั่นใจในความปลอดภัยแล้ว

ในที่สุด แม้กัปตันจะบอกตอนแรกว่า 15 นาที แต่ผ่านไป 30 นาทีแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในที่สุดก็มีเสียงกัปตันประกาศอีกครั้งว่า เครื่องซ่อมไม่ได้ (ไม่ได้พูดตรงๆแบบนี้นะคับ แต่ความหมายเป็นแบบนี้) ก็เลยขอยกเลิกการบิน  แล้วแจ้งว่า ให้ทำตามคำแนะนำของ ground staff ด้านล่าง

เครื่องยนต์ ขัดข้องจนต้องจอดทิ้งไว้
ตรงประตูทางออกทุกคนมายืนออกันแน่นเลยคับ วุ่นวายมาก เพราะ หลายคนต้องมาต่อเครื่องกลับที่สุวรรณภูมิ หลายคนมีธุระสำคัญในตอนเช้า แต่เจ้าหน้าที่ๆสามารถให้ข้อมูลได้มีน้อยมาก แต่ก็ไม่มีใครโวยวายเสียงดังนะคับ ทุกคนดูร้อนใจแต่ก็มีมารยาทกันดี ไม่ได้เบียดเสียดแซงคิวอะไรกัน

จนในที่สุดก็มีคนเอาบัตร Transit มาให้ เราก็ต้องทยอยออกไปสแตมป์ยกเลิกขาออกในพาสปอร์ตที่เคยสแตมป์ไว้ แล้วก็ต้องเดินออกไปรอรถนอกสนามบินเพื่อไปโรงแรมที่การบินไทยจัดไว้ให้


นี่คงเป็นข้อดีของการบินโดยสายการบินปกติ เพราะถ้าเป็น Low Cost ก็อาจต้องรอในสนามบิน หรือได้โรงแรมธรรมดา  แต่สำหรับการบินไทย  จัดหนัก จัดเต็มให้พักที่ Intercontinental Hanoi เลยคับ  แถมให้พักคนเดียวด้วย  
กว่าผมจะมาถึงโรงแรมก็ปาเข้าไปเกือบตี 2 แล้วซึ่งทางโรงแรมมีบริการเฝอเป็นมื้อดึกให้ เพราะต้องยอมรับเลยว่าผู้โดยสารเกือบทุกคนทั้งเหนือยทั้งหิว  คืนนั้นกว่าจะได้เข้นอนก็เกือบตี 3 คับ แต่ต้องรีบตื่นเพราะทางโรงแรมแจ้งว่าจะมีรถไปสงสนามบินตอน 7 โมงเช้าเพื่อไป stand by รอขึ้นเครื่อง


พอตอนเช้าหลังจากอาบน้ำแต่งตัว  ทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ก่อนออกจากห้องผมก็เตรียมหยิบ Passport มาเตรียมไว้แต่...มันกลับไม่มีในที่ๆควรอยู่คับ หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เลยลงไป front desk ถาม reception ว่าเมื่อคืนผมได้ให้ passport ไว้หรือเปล่าเพราะเมื่อคืนผมเบลอมากจนจำไม่ได้จริงๆ แต่พอเธอดู list แล้วก็ตอบว่าไม่มี

ผมเลยสติแตกเลยคับ  วิ่งขึ้นบนห้อง อีกรอบรื้อค้นกระเป๋า โต๊ะเตียง กระจุยกระจายเลย แต่หายังไงก็หาไม่เจอ  ก็เลยโทร. ลงไปถามว่าข้างล่างอีกครั้งว่ามีใครเจอ Passport มามอบให้เธอมั้ย   เธอคนเดิมก็ตอบว่าไม่มี   ผมไม่ยอมแพ้ ถามอีกครั้งว่าช่วยดูอีกทีได้มั้ยว่าที่บริเวณตรงนั้นมี Passport วางหลงๆ อยู่บ้างหรือเปล่า   เธอก็ตอบแบบเร็วมากว่าไม่มี (เหมือนไม่ได้หาก่อนจะตอบเลย)   ผมก็เลยบอกเธอว่าช่วยแจ้งเจ้าหน้าที่ TG ที่ด้านหน้าหน่อยว่าผมหา passport อยู่คงจะเลทแน่ๆ  เธอก็ตอบว่า...ค่ะ

พอ สัก 7.40 ซึ่งเลยเวลานัดมา 40 นาทีแล้ว เจ้าหน้าที่ TG ชาวเวียดนามก็โทร.ขึ้นมาต่อว่าผมว่านี่มัน 7.40 แล้ว ทำไมไม่ check out ผมก็เลยบอกว่า อ้าวผมแจ้ง front ให้ช่วยบอกแล้วไงว่าผมทำ passport หาย  เขาก็บอกว่าไม่เห็นมีใครมาบอกอะไรเลย   (อ้าว เฮ้ย!!!)

ผมก็เลยบอกว่าโอเคเดี๋ยวจะลงไป แต่ก่อนจะลงก็ลองหาอีกรอบแต่ก็ไม่เจอ  เลยกะทำใจเลยว่าปัญหายาวแน่ เพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ด้วย สถานทูตก็คงปิด

ผมเดินลงมาด้านล่างแบบห่อเหี่ยว  มาที่ front บอกเจ้าหน้าที่ Reception ว่าหาไม่เจอแล้วก็ถามเธอว่าต้องทำยังไง  ซึ่งเธอก็ไม่เห็นมีท่าทีสนใจอะไร  แต่ตอนนั้นเองที่สายตาผมเหลือบไปเห็น passport สีน้ำตาลหันด้านหลังออกวางอยู่กับสีเขียวอีกเล่มหนึ่ง  ผมเลยบอกว่าช่วยหยิบ พาสปอร์ตนั้นมาดูหน่อย  เธอก็ทำหน้าเรียบเฉยแล้วก็หยิบขึ้นมาดูแบบเสียไม่ได้  แล้วก็หลุดประโยคหนึ่งออกมาซึ่งเป็นประโยคที่ผมคงจำไปชั่วชีวิตว่า...

Oh !  It's  You !!!!!!!!!

แสดง ว่าที่ผ่านมาเธอไม่ได้ใส่ใจจะหาพาสปอร์ตให้ผมเลย ทั้งๆที่มันวางอยู่หน้าเธอแท้ๆ  แต่ตอนนั้นผมพูดอะไรไม่ออกจิงๆ มันทั้งโกรธ  เสียใจ  หดหู่ เศร้าใจ  สารพัดอารมณ์ที่ประเดประดังเข้ามา  แต่ก็พูดอะไรไม่ออก พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียวจริงๆคับ    เลยทำได้แค่บอกเธอว่าเจ้าของ passport สีเขียวอาจกำลังเจอปัญหาเดียวกับผมก็ได้ เลยบอกเธอว่ารีบแจ้งเขานะว่าพาสปอร์ตเขาอยู่นี่ เธอก็ตอบมาว่า....ค่ะ  แล้วก็หันไปทำงานอื่นของเธอต่อไป

เมื่อพิจารณาจากสิ่งที่เธอทำกับผมกับสีหน้าเรียบเฉยเมื่อกี้  ผมบอกเจ้าของพาสปอร์ตสีเขียวได้คำเดียวว่า

...Good Luck...!!!!

หลังจากหมดเรื่อง passport โชคดีที่เจ้าหน้าที่ TG ยังรออยู่ผมเลยได้นั่ง Taxi ไปสนามบินคนเดียวและคนสุดท้าย

พอ ไปถึงก็เจอความอลหม่านอีกรอบคับ เพราะ flight เช้ามีเที่ยวเดียวคือ 10.50 ทุกคนก็เลยแย่งกันจะไปเที่ยวนี้ให้ได้  จิงๆ TG น่าจะจัด priority ว่าใครรีบไม่รีบ  อย่างผมไม่ได้รีบร้อนอะไรก็อาจจะมีช่องพิเศษมาแจ้งว่า ยินดีจะบินไฟล์ค่ำ ทุกคนจะได้ไม่ต้องมายืนแย่งกัน  โดยเฉพาะสงสารคนที่มีตั๋วไฟล์นี้จิงๆ ที่ต้องพลอยมายืนเข้าคิวแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย เขาก็คงงว่าทำไมคนมันเยอะ คิวมันยาว เพราะไม่มีเจ้าหน้าที่ TG มาบอกหรือให้ข้อมูลอะไรเลย

ทุกคนเลยพยายามมาต่อคิวเพราะกลัวไม่ได้กลับบ้านกัน  แม้กระทั่งเดินไปเข้าห้องน้ำยังไม่กล้าเลย  ผมเองก็ต้องยืนรอตั้งแต่ 8.30 - 11.00 โมง แถวเรียกว่าไม่ขยับเลย แต่ก็ไม่มีใครกล้าทิ้งคิวไปไหน

ตอน 11.00 เจ้าหน้าที่ก็ปิด counter เฉยเลย  แล้วก็หายวับไปเหมือนนินจา  แปลกมากคับ  ทำไมการที่จะมีเจ้าหน้าที่ สักคนมาบอกว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ปัญหาคืออะไร หรือจะแนะนำผู้โดยสารว่าควรทำอย่างไร เนี้ยมันยากลำบากมากนักหรือไง   ตอนนั้นผมเริ่มเซ็งกับการแก้ปัญหาของ TG มากคับ เพราะตัวเองรู้สึกเลยว่าล้ามาก  เพลียมาก  และทุกคนที่ยืนในคิวก็ล้ากันทุกคน ดูสีหน้าก็รู้คับ  แต่ที่ส่วนใหญ่บ่นเซ็งคือทำไมไม่มีเจ้าหน้าที่มาอธิบาย อะไรเลยว่าจะให้ทำไงต่อไป จะให้ยืนกันอย่างนี้ไปถึงค่ำหรือยังไง
แต่โชคดีที่พอรอไปอีกสักพัก เจ้าหน้าที่ก็เปิดเที่ยวบินพิเศษตอนบ่ายโมงให้   หลังจาก Check in เราก้ได้รับคูปองอาหารคับ เนื่องจากเป็นเที่ยวบินพิเศษจึงไม่มีอาหารบริการบนเครื่อง  เราต้องทานให้เสร็จจากร้านในสนามบินที่ทางการบินไทยจัดให้    ใครกินเสร็จก็เดินไปขึ้นเครื่องได้เลย  ไม่ต้องรอประกาศ boarding ใดๆ ทั้งสิ้น

หลังจากที่ผมขึ้นไปอยู่บนเครื่องแล้ว ก็จำอะไรไม่ได้อีกเลยคับ เพราะ shut down ตัวเองอัตโนมัติเลย  เพราะ battery หมดจริงๆ  มา รู้สึกตัวอีกทีตอนแอร์กระชากหน้าต่าง แล้วแสงแดดมันสาดเข้าหน้าเต็มๆตอนเครื่องจะลง  ตอนนั้นอยากบอกว่าแค่สะกิด ปลุกก็ได้คับ ไม่ต้องรุนแรงขนาดนั้น  แต่ตอนนั้นมันหมดแรงกาย แรงใจจะหืออืออะไรทั้งนั้นแล้วคับ


สรุปผมก็ได้กลับมาถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ แม้จะไม่เต็มร้อย  เรียกว่าเดินทางกลับบ้านเหมือนซอมบี้เลย แต่ก็ถือเป็นอีกทริปที่อยู่ในความทรงจำ มีทั้งความสุข สนุกสนาน เสียใจ เศร้าใจ ระทึกใจ ครบรส  และมันก็เป็นเสน่ห์ของทุกการเดินทางที่คุณไม่รู้ว่าคุณจะไปเจออะไร  แต่ทั้งหมดก็จะเป็นประสบการณ์และความทรงจำอันมีค่าที่จะติดตัวคุณตลอดไป












วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เวียดนาม # 8 สุสานโฮจิมินห์ / เจดีย์เสาเดียว / บ้านพักโฮจิมินห์ / Presidential Palace

วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของทริปฮานอยในวันนี้ ซึ่งสถานที่ๆเราจะไปกันถือว่าเป็นสถานที่ๆมีความสำคัญที่สุดของประเทศเวียดนามนั่นคือ...สุสานโฮจิมินห์ ผู้สร้างชาติเวียดนามนั่นเอง

การเดินทางไปง่ายและถูกมากคับ  โดยไปตั้งจุดเริ่มต้นกันที่ทะเลสาปคืนดาบ แล้วเดินไปที่วงเวียนที่มี KFC บริเวณฝั่งทะเลสาปจะมีคิวรถเมล์จอดอยู่   เราก็แค่มองหารถเมล์หมายเลข 9 แล้วก็พกความมั่นใจขึ้นไปเลยคับ  รถเมล์สายนี้นี่แหละจะพาเราไปถึงสุสานโฮจิมินทร์ในราคาที่ถูกมากคือแค่ 3000 ดอง หรือ 6 บาทแค่นั้นเอง




นั่งไปไม่ไกลมากก็ให้สังเกตุว่านี่คือป้ายที่จะลง  จุดสังเกตุอีกอย่างคือฝั่งตรงข้ามจะเป็นร้านเบเกอร์รี่และกาแฟ (ยังอยู่หรือเปล่าไม่รู้)  ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดอาจจะสะกิดกระเป๋ารถเมล์ไว้ ให้ช่วยบอกพอถึงจุดหมายด้วย


พอถึงจุดหมายแล้วก็เดินถอยหลังกลับมานิดนึงก็จะเห็นทางเข้าไปลานอันกว้างใหญ่เราก็เดินเข้าไปเลยคับ รับรองรู้ได้ไม่ยากเพราะจะมีนักท่องเที่ยวมากมายเดินกันขวักไขว่ไปหมดเลย  แต่ก่อนที่จะไปถึงสุสานโฮจิมินทร์ เราขอแวะไปชม ...พิพิธภัณฑ์โฮจิมินทร์...กันก่อนคับ  อยู่ในบริเวณเดียวกันเลย






พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ ( Ho Chi Minh Museum ) ตั้งอยู่ใกล้กับสุสานโฮจิมินห์ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1985  เป็นรูปแบบของอาคารสมัยใหม่  สร้างโดยชาวโชเวียตเพื่อรำลึกถึง โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh) นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีของเวียดนาม ภายในมีการจัดแสดงนิทรรศการมากมาย ที่สำคัญมีประวัติการปฏิวัติของโฮจิมินห์ตลอดชีวิตอีกด้วย  โดยมีการรวบรวมภาพวาด 3000 ภาพ และโบราณวัตถุอีกกว่า 700 ชิ้น

โดยส่วนตัวผมชอบพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มากเพราะภายในนอกจากการติดภาพและข้อความบรรยายประวัติศาสตร์ บลา บลา บลา เหมือนพิพิธภัณฑ์ทั่วไปแล้ว   ภายในยังมีงานปฎิมากรรมแปลกๆให้ได้ชมกันซึ่งงานแต่ละชิ้นจะมีความหมายในตัวมันเองเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของการปฏิวัติด้วย  ทำให้นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ สามารถใช้จินตนาการตีความได้ (แต่ถ้าอยากรู้ว่าตีความถูกมั้ย เค้าก็มีเขียนคำอธิบายเฉลยไว้ด้วยคับ) 






จากพิพิธภัณฑ์ออกมาด้านนอกก็เจอกับ...เจดีย์เสาเดียว....จุดท่องเที่ยวอีกอย่างในบริเวณนี้เลย

เจดีย์เสาเดียว (One Pillar Pagoda) มีตำนานเล่าว่าพระเจ้าหลีไทโต ทรงเป็นทุกข์เนื่องจากไม่มีรัชทายาทเพื่อสืบราชบัลลังก์ แต่ต่อมาคืนหนึ่งได้ทรงสุบินฝันเห็นเจ้าแม่กวนอิมนั่งอยู่บนใบบัวแล้วยื่นเด็กชายให้  หลังจากนั้นไม่นานพระองค์ก็ได้รัชทายาทตามที่ฝันไว้ทุกประการ

พระองค์จึงสร้าง เจดีย์ขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บนเสาต้นเดียวกลางสระบัวเพื่อเป็นการถวายสักการะแด่เจ้าแม่กวนอิม ในปี คศ. 1049  ถึงตรงนี้คงเดาได้ไม่อยากแล้วนะคับว่าเจดีย์เสาเดียวนี้จึงเป็นสถานที่ๆคนเวียดนามจะนิยมมาขอลูกกัน




จากเจดีย์เสาเดียวจุดหมายต่อไปของเราก็คือ สุสานโฮจิมินห์ เดินออกมาไม่ไกลคับ

 สุสานโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh’ s Mausoleum) ตั้งอยู่บริเวณจัตุรัสบาสดิงห์ (Ba Dinh) สุสานแห่งนี้ได้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2516 เสร็จในปี พ.ศ. 2518 เป็นอาคารหินอ่อนและหินแกรนิตรวมถึงไม้เนื้อดีจากทั่วประเทศ เพื่อเป็นสถานที่เก็บศพของโฮจิมินห์ หรือที่ชาวเวียดนามเรียกว่า บั๊กโฮ ซึ่งแปลว่าลุงโฮ  ที่ถือเป็น รัฐบุรุษอันดับหนึ่งตลอดกาลของชาวเวียดนาม  โดยหากใครต้องการเข้าไปชมต้องเสียค่าเข้า 10000 ด่อง

โฮจิมินห์ เป็นแกนนำสำคัญในการปลดแอกเวียดนามจากการยึดครองของฝรั่งเศส และในเวลาต่อมาก็ยังเป็นผู้ที่รวมเวียดนามเหนือ-ใต้ ให้กลายเป็นประเทศเวียดนามขึ้นมาได้

ด้านในจะเป็นที่เก็บศพโฮจิมินห์ ซึ่งอาบน้ำยาอยู่ในโลงแก้วเพื่อให้ผู้คนที่เข้ามาชมได้รู้จักรัฐบุรุษท่านนี้ แต่ทั้งหมดนี้เป็นการกระทำที่ขัดต่อความต้องการของโฮจิมินห์ เพราะจริงๆแล้วท่านต้องการให้เผาร่างเมื่อตายลง

สำหรับห้องนี้ไม่อนุญาตให้นำกล้องถ่ายรูป วีดีโอ โทรศัพท์ หรือกระเป๋าทุกชนิดเข้าไปโดยเด็ดขาด

ปีนี้เราค่อนข้างโชคร้ายเนื่องจากเรา เดินทางไปคารวะศพลุงโฮในช่วงที่มีการนำศพของท่านไปอาบน้ำยาใหม่ที่ประเทศรัส เซียพอดีซึ่งจะมีการทำเช่นนี้ในช่วงเดือนตุลาคม - พฤศจิกายนของทุกปี  ดังนั้นด้านในก็จะปิด ไม่สามารถเข้าได้   ส่วนในช่วงปกติที่มีร่างของลุงโฮอยู่ก็จะเปิดให้ชมเฉพาะช่วงเช้าคือ 7.30 - 11.00 นาฬิกาเท่านั้น  เพราะฉะนั้นควรเวางแผนการเดินทางไปเข้าชมให้ดีคับ





จากบริเวณจัตุรัสบาสดิงห์ เราจะมองเห็นที่ทำการของรัฐบาลอยู่บริเวณใกล้ด้วย  ตึกก็ไม่ได้ใหญ่โตมาก แต่สวยงามดีคับ


จากจตุรัสเดินขึ้นไปอีกนิดก็จะเป็นทางเข้าไปทำเนียบประธานาธิบดี และบ้านพักของท่านโฮจิมินห์  แต่ก็ต้องบริหารจัดการเวลาอีกเช่นกัน เพราะที่นี่จะเปิดตั้งแต่ 7.30 - 11.00 และจะเปิดอีกครั้งตอน 14.00 - 16.00 เพราะฉะนั้นถ้าใครมัวแต่เดินชมส่วนอื่นเพลิน ก็จะมาติดช่วงเวลาพักเที่ยงตอน 11 โมง และต้องรอ 2 ชั่วโมงทีเดียวกว่าจะเข้าชมได้ (สำหรับผมก็ติดเที่ยงเหมือนกัน เลยออกไปทานร้าน Zen ร้านบุปเฟ่ย์ชื่อดังของฮานอย ซึ่งอยู่ไกลออกไป แต่ไปกลับก็พอดีเวลา โดยผมจะขอนำเสนอร้านอาหารร้านนี้ในตอนหน้า)
ทำเนียบประธานาธิบดี(Presidential Palace) และบ้านพักของโฮจิมินห์ ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน โดยทำเนียบประธานาธิบดี(Presidential Palace) นั้น สร้างโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศสในช่วงที่ฝรั่งเศสปกครองเวียดนาม เป็นตึกสไตล์โคโลเนียลเพื่อใช้เป็นที่พำนักของเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศส  หลังจากเป็นเอกราชเวียดนามจึงได้เปลี่ยนสถานที่แห่งนี้เป็นทำเนียบประธาธิบดี ซึ่งไม่ได้เปิดให้เข้าชมด้านใน


ส่วนบ้านพักลุงโฮนั้น มี 2 หลังเป็นบ้านสไตล์โคโลเนียล ซึ่งท่านใช้พำนักในช่วงปี 1954 - 1958  (เดิมเป็นบ้านพักของผู้ว่ากรุงฮานอย ชาวฝรั่งเศส) และ บ้านพักไม้ 2 ชั้น แบบเรียบง่ายคล้ายๆ บ้านสมัยก่อนในบ้านเราซึ่งเป็นการจำลองมาจากบ้านของลุงโฮตอนที่อยู่ในป่าระหว่างปี 1958 - 1969  โดยมีการจัดแสดงห้องทำงาน ห้องรับแขก ห้องนอน รถประจำตำแหน่งสมัยที่ท่านใช้ไว้ให้ชมกันด้วย
ห้องทำงาน
บริเวณโดยรอบ
ห้องรับแขกด้านล่าง
ห้องทำงานเล็กๆ
บ้านลุงโฮจำลองมาจากสมัยอยู่ในป่า
ห้องอาหาร

ได้เห็นวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและสมถะของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ท่านนี้แล้วก็อดชื่นชมและให้ความเคารพไม่ได้คับ และนี่เองกระมังที่น่าจะเป็นรูปแบบและหลักการที่แท้จริงของระบอบคอมมิวนิสต์

แต่น่าเสียดายที่ในที่สุดแล้วผมเชื่อว่า "อุดมการณ์" ก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล ยากที่จะถ่ายทอดหรือทำให้คนอื่นปฏิบัติเหมือนกับคนต้นคิดหรือต้นแบบได้  ดังที่เราเห็นและรู้ดีอยู่แล้วว่าระบอบคอมมิวนิสต์จะดูสมบูรณ์แบบในช่วงแรกๆที่นำมาใช้เท่านั้น  เรียกว่าเป็นช่วงที่อุดมการณ์กำลังเข้มข้น  แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนผ่านและผู้มีอำนาจเริ่มเสพติดกับอำนาจและความสุขสบายที่ตัวเองมี  อุดมการณ์ที่เลิศหรูเหล่านั้นก็ได้เปลี่ยนโฉมไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งในรัสเซีย (ซึ่งล่มสลายไปแล้ว)  จีน (ซึ่งช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน ถ่างห่างยิ่งกว่าประเทศทุนนิยมเสียอีก )

แม้กระทั่งเวียดนามเอง จากที่ผมได้สัมผัสและมีเพื่อนเป็นชาวเวียดนามหลายคน ก็ได้ค้นพบความจริงว่า...การทำให้ทุกคนเท่าเทียมนั้น...ไม่มีอยู่จริงในระบอบนี้ (เพื่อนเวียดนามที่เป็นชนชั้นนำเหล่านี้ มีชีวิตหรูหรากว่าผมซึ่งอยู่ในประเทศทุนนิยมเสียอีก  ในขณะที่คนอีกจำนวนมากยังยากจน ไม่มีกิน จนต้องอพยพไปแย่งที่ทำกินในประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาหลายล้านคน)

ดังนั้นผมคิดเอาเองว่า ลุงโฮอาจกำลังเสียใจอยู่ที่เวียดนามในวันนี้กำลังเดินห่างออกไปจากความตั้งใจของลุงโฮไปมากมายทีเดียว